วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เครื่องปั่นไฟสำหรับสถานประกอบการ อาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม

เครื่องปั่นไฟ (electric generator)  คือ เครื่องกลที่ใช้สำหรับเปลี่ยนพลังงานกลเป็นแรงงานไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการทำงาน คือเมื่อสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดขดลวด หรือขดลวดเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กก็จะเกิดไฟฟ้าออกมา

เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามแนวทางของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น

สมัยปัจจุบันระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทยมีทั้งระบบการผลิตการส่งจ่ายและการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ครอบคลุมทุกภาค  ทำให้สถานที่ประกอบการมีกระแสไฟฟ้าใช้ได้ต่อเนื่องทั้งวัน  แต่บางครั้งอาจจะเกิดข้อขัดข้องจากการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ความขาดตกบกพร่องของเครื่องมือในระบบหรือการเกิดอุบัติเหตุ  มีการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟู  แก้ไข หรือปรับปรุงระบบสายส่งให้ดีขึ้น หรือมีการเชื่อมต่อสายส่งเพิ่มขึ้น  การเกิดเภทภัยธรรมชาติ  เช่น  ลมพายุ  ฝนฟ้าคะนอง  ทำให้กิ่งไม้ในละแวกใกล้เคียงสายส่งหักพาดสาย ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร  หรือเกิดฟ้าผ่าลงบนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งข้อขัดข้องดังกล่าว  ถึงแม้ทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อบ้านพักอาศัยของประชาชนไม่มากนัก              แต่สำหรับสถานประกอบการประเภทอาคารสูง  โฮเต็ล  โรงหมอ  โรงงานอุตสาหกรรม จึงมีความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก  เช่น  ระบบปรับอากาศ  ลิฟต์ประจำอาคาร  กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะหยุดชะงัก เป็นเหตุให้เกิดการเสียหายแก่สถานที่ประกอบการนั้น ๆ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้จ่ายพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังไฟฟ้าสำรองนี้ได้มาจากเครื่องปั่นไฟสำรอง(Stand by Generator)  นั่นเอง
เพราะเช่นนั้น สถานประกอบการจะต้องตรวจสอบเสียก่อนว่า กิจการค้าของตนเองจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าที่ระดับความปลอดภัยเพียงใด และกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าใดบ้างที่เป็นกิจกรรมที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดกระบวนการทำงานเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่ง NFPA ได้แบ่งแยกระดับของความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าตามความสำคัญของภาระไฟฟ้าออกเป็น  4  ลำดับขั้น
ระดับที่  1  ระบบไฟฟ้าเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยในชีวิต  เช่น ระบบไฟแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และระบบป้องกันเพลิงไหม้ เป็นต้น
ระดับที่ 2  ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อปกป้องความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม  เช่น  ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูลหลัก  ศูนย์จัดเก็บข้อมูลของธนาคาร  ระบบไฟฟ้าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล  เป็นต้น
ระดับที่  3  ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหาย ทางเศรษฐกิจเนื่องจากกระบวนการผลิตต่างๆ  หยุดชะงัก เช่น  การผลิตส่วนประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอาหาร  การผลิตทางเคมี  การกลั่นน้ำมัน  เป็นต้น
ระดับที่ 4  ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อรักษากระบวนการทำงานมิให้เกิดการหยุดชะงัก จนทำให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเกิดความเสียหายได้ เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบหล่อลื่น  เป็นต้น
เพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเผื่อไว้ไว้ใช้งาน

เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator) สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องปั่นไฟชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด ด้วยเหตุว่าสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องปั่นไฟแบบ 1 เฟส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น