นับจากนี้ไปอีก 6 วันข้างหน้า กลุ่มประเทศสมาชิกในอาเซียนกำลังจะเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว ที่สามารถเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน คนงานที่มีฝีมือ และเงินทุนภายในอาเซียนได้อย่างเสรี ภายใต้เงื่อนไขในการรวมตัวของกลุ่มประเทศในอาเซียนจะเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี
ทุกประเทศเชื่อว่าจะมีการเตรียมพร้อมกันแล้ว ในส่วนของประเทศไทย ภาคการเกษตรนั้น พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศก่อนหน้าชัดเจนแล้วว่า ได้เตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยดำเนินการตามเป้าหมายประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการเป็นตลาด และฐานการผลิตเดียวกัน ซึ่งมีการดำเนินการแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ตามพันธกรณีของประชาคมอาเซียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (เออีซี บลูปริ๊นท์) 2.ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดเพิ่มเติม
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 2 ประเด็นหลัก คือ 1.การลดภาษีและขยายโควตาสินค้าเกษตร ซึ่งดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว 2. การกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร ซี่งดำเนินการตั้งแต่ปี 2551-2558 จำนวน 23 รายการ ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือ มาตรฐานสินค้าพืชสวน ที่ได้มาตรฐาน ASEAN GAP (ASEAN Good Agriculture Practice (การทำการเกษตรที่ดี)
ในส่วนภายในประเทศเราเอง ได้ออกกฎกระทรวงเกษตรฯ เพื่อกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องหลักปฏิบัติสำหรับกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นมาตรฐานบังคับฉบับแรกของประเทศไทย ที่กระทรวงเกษตรฯ ประกาศบังคับใช้ เพื่อควบคุมกระบวนการรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์สำหรับผลไม้ เช่น ลำไย ลิ้นจี่ โดยจะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้กระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์อย่างแพร่หลาย เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้ให้คงความสดและสามารถวางจำหน่ายในตลาดได้นานขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำไย ทำให้มีโอกาสที่สารชนิดนี้จะตกค้างเกินค่ามาตรฐาน อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค จึงจำเป็นต้องเร่งควบคุมกระบวนการรมเพื่อไม่ให้มีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างเกินกว่าข้อกำหนดตามกฎหมาย เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ และยังสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยของผลไม้ไทยด้วย
ฉะนั้นผู้ประกอบการโรงรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทุกขนาด ทั่วประเทศกว่า 110 แห่ง ต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมรองรับการบังคับใช้มาตรฐานนี้ โดยผู้ประกอบการ โรงรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกผลไม้ ที่มีการรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะต้องยื่นขออนุญาตกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรเเละอาหารแห่งชาติ หรือมกอช.ก่อน
เช่นเดียวกันกับโรงรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ต้องขอการตรวจรับรองจากกรมวิชาการเกษตร หรือหน่วยตรวจ/หน่วยรับรองเอกชนที่ส่วนราชการรับรอง ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 นี้
ขณะที่ ดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการ มกอช.ก็ฝากย้ำมาว่า ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกผลไม้ โดยเฉพาะลำไย ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน โดยเฉพาะโรงรม ห้องรม ระบบบำบัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและหลักปฏิบัติ ต้องเร่งปรับปรุงให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดด้วย
ที่สำคัญต้องมีกระบวนการรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์อย่างถูกต้องและถูกวิธี โดยเฉพาะโรงรมลำไยสด ที่ต้องดำเนินการให้เสร็จตามกฎหมาย เพื่อรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในรอบกลางปี 2559 ซึ่งจะทำให้การส่งออกลำไยสดเกิดความคล่องตัว และไม่มีปัญหาตรวจพบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้นะครับ
เครดิต http://www.komchadluek.net/detail/20151225/219246.html
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ซื้อต้นมะนาวมาปลูกในกระถางไว้เก็บกินเอง
ขอปรึกษาหน่อยค่ะ
จะซื้อต้นมะนาวมาปลูกในกระถางไว้เก็บกินเอง
เคยไปถามซื้อเจ้าแรกต้นนึง 350 บาท แต่ยังไม่ได้ซื้อมา
พอดีพี่ที่รู้จักกันไปซื้อมาจากเจ้าที่สองต้นละ 500 เปลือกบาง เพาะมาจากเมล็ด
วันนี้แถวบ้านมีมาขาย เป็นมะนาวทวาย เปลือกบาง ต้นละ 70
เราก็เล่าให้คนขายมะนาวทวายฟังว่าเคยถามๆมาต้นละ 350-500
คนขายบอกมะนาวอะไรก็มีลูกทั้งนั้นแหละครับ
จะซื้อต้นมะนาวมาปลูกในกระถางไว้เก็บกินเอง
เคยไปถามซื้อเจ้าแรกต้นนึง 350 บาท แต่ยังไม่ได้ซื้อมา
พอดีพี่ที่รู้จักกันไปซื้อมาจากเจ้าที่สองต้นละ 500 เปลือกบาง เพาะมาจากเมล็ด
วันนี้แถวบ้านมีมาขาย เป็นมะนาวทวาย เปลือกบาง ต้นละ 70
เราก็เล่าให้คนขายมะนาวทวายฟังว่าเคยถามๆมาต้นละ 350-500
คนขายบอกมะนาวอะไรก็มีลูกทั้งนั้นแหละครับ
เพื่อนๆที่พอจะมีความรู้ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
1. มะนาวต่อกิ่งได้ค่ะ ซื้อต้นพันธุ์ธรรมดามา เลี้ยงเขาให้โต้แข็งแรงแล้วค่อยต่อกิ่ง เสียบยอด แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ แต่ถ้าต้องการปลูกแล้วได้ผลเหมือนต้นพันธุ์เลย รอเพื่อนสมาชิกมาตอบค่ะ
2. หาซื้อมะนาวที่ใช้ต้นตอของส้มโอมาเสียบยอดแล้วแต่จะใช้พันธ์ุอะไร ลำต้นจะแข็ง ราคาต้นหนึ่งไม่น่าจะเกิน 150 บาท เพราะซื้อมาจากโครงการพระราชดำหริที่เขาหินซ้อนก็ตกต้นละ 80 บาทค่ะ
3. เราซื้อต้นละ550บาทแม่ค้าบอกว่าแป้นพิจิตรทนโรคแฮกเกอร์ลูกดกปลูกในกระถางประมาณ2เดือนออกดอกติดลูกประมาณสิบลูกได้(ไม่ได้นับ)ตอนที่ซื้อติดลูกมาสามลูก ตอยแรกทั้งซื้อทั้งเสียดายเงินพอเห็นมีลูกเยอะไม่เสียดาย
4. คุณเห็นมะนาวบ้านเพื่อนต้นไหนที่ถูกใจคุณขอตอนกิ่งเขา ลงทุนต้นละม่ายเกินห้าบาทครับ ตอนไว้ราวประมาณ 20 วันรากงอก ตัดแล้วลงชำถุงดำ 20 วัน แล้วลงปลูกกระถางเลยครับ แต่ต้นพันธุ์ต้องปลอดโรคและเป็นพันธุ์แท้นะครับ หรือถ้าไปซื้อกิ่งตอนหรือที่เขาชำลงถุงดำแล้ว ราคาน่าจะไม่เกิน 80฿ ก็ลงกระถางได้ครับ แต่มะนาวต้องการปุ๋ยเยอะ จะให้ติดลูกเมื่ออายุมากกว่าปีหกเดือน/ปีครึ่ง ไม่เช่นนั้นต้นจะอยู่ได้ไม่นาน/โทรมเร็ว ติดลูกครั้งเดียวตายเลยครับ
แข่งขันปลูกฟักทอง
แข่งขันปลูกฟักทอง ผู้ใดจะได้ผลใหญ่สุด ของดิฉันใบงามดอกมีเฉพาะตัวผู้ ขอตัดยอดมากินเอาคล็ดขอดอกตัวเมียกับเขาบ้าง " ยอดฟักทองต้มมาม่า "
วิธีการปลูกฟักทอง
http://diarymykaset.blogspot.com/2015/05/blog-post_9.htmlวิธีการปลูกฟักทอง
อัลบั้มนี้ เป็นการลงรูปและวิธีการปลูกฟักทองในกลุ่มแข่งปลูกผัก บ้านเกษตรพอเพียง ตามโจทย์ หัวข้อของน้าอ้วน ในการแข่งปลูกฟักทอง แต่โดยส่วนตัวผมถือว่าเป็นการสมานไมตรีของสมาชิกในกลุ่ม เหมือนเช่นการแข่งปลูกคะน้าในรุ่นแรก รุ่นก่อตั้งกลุม ตามหัวข้อและชื่อกลุ่มกับคำว่าแข่ง แต่จริงๆแล้วมันเป็นกุศโลบายในการตั้งชื่อของผู้ก่อตั้งกลุ่ม เพื่อที่จะให้สมาชิกกลุ่มได้มีการร่วมกิจกรรมกันทุกท่านเพื่อผูกสัมพันธไมตรี เพื่อได้เรียนรู้ รักใคร่กลมเกลยว และแบ่งปันประสบการณ์แก่กันและกัน เหมือนกับการแข่งปลูกผักในครั้งแรก จะพบเห็นและผู้แข่งปลูกคะน้าทุกท่านจะรู้ดีว่าในกิจกรรมครั้งนั้นทุกคนได้รับมิตรภาพที่ได้แบ่งปันให้กันและกัน ถึงแม้ผู้เข้าร่วมแข่งปลูกคะน้าในครั้งนั้นบางท่านจะไม่เคยแม้แต่ขุดดิน โรยเมล็ดผัก หรือแม้แต่ปุ๋ยที่จะใส่ควรจะใช้หรือใส่แบบไหน แต่เมื่อจบเกมการแข่งขันทุกคนต่างก็ได้รับประสบการณ์และเรียนรู้ที่ได้ทำได้ปฎิบัติจริง ไปพร้อมๆกัน มีการแนะนำ ช่วยเหลือกัน จนผู้ที่บอกว่าไม่เคยปลูก ไม่เคยทำกลับเป็นผู้ชนะที่ 1 พี่อ้วน Tipakorn Tongnopakun พี่สาวใจดีของเรา และอีกหลายๆท่าน ที่ร่วมกิจกรรมในครั้งนั้น ในครั้งนี้ถึงแม้จะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพียงไม่กี่คน แต่ก็หวังว่าสมาชิกในกลุ่มแข่งปลูกผักทั้งหมดจะได้รับประโยชน์ถึงวิธีการปลูกและดูแล ในครั้งนี้ และคงจะเล็งเห็นและรับรู้ถึงมิตรภาพ ความผูกพันธุ์ที่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะมีและมอบให้แก่กันและกัน เพื่อที่คราวหน้าหลายๆท่านจะได้เข้ามาร่วมกิจกรรมกับเรา ลุงไก่ เกษตรคนดิน เดินตามรอยพ่อ แอดมินกลุ่ม
รับ 20 มีนาคม พรุ่งนี้พี่จะลุยแล้วนะ ใครได้รับแล้วรีบๆล่ะอย่าใจ เย็น อิอิ
นี่คับตักโยนเลยแล้วก็กลบหล ุมด้วยดิน ตามหลักวิชาการเค้าบอกต้องค ลุกเคล้าให้เข้ากับดินแต่ใน ทางปฎิบัติขอบอกว่าไม่ทันกิ นคับเพราะปลูกกันเป็นไร่ๆ
รับ 20 มีนาคม พรุ่งนี้พี่จะลุยแล้วนะ ใครได้รับแล้วรีบๆล่ะอย่าใจ
เรามาเริ่มปลูกฟักทองกันคับ ผมปลูกเมื่อวานตอนเย็นแต่ไม ่มีเวลาลงภาพเลยลงเช้านี้ นี่คือเมล็ดฟักทอง 1 ซองที่น้าอ้วนส่งมาคับ สีชมพูที่เคลือบเมล็ดอยู่คื อยากันรานะคับ
ขุดหลุมน้อยๆคับไม่ต้องใหญ่ นี่เป็นวิธีการปลูกของชาวสว นจริงๆนะคับอาจจะไม่ปราณีตห รือดูดีแบบไฮโซ อิอิ
ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกรองก ้นหลุมคับปกติจะใช้ขี้หมูรอ งแต่นี่ไม่กี่หลุมและผมเองเ ลี้ยงไส้เดือนอยู่เลยใช้ขี้ ไส้เดือนแทน ตักโยนลงไปก้นหลุมเลยคับ
กลบหลุมเสร็จแล้วโยนเมล็ดคั บ ทำไมต้องโยนคงจะเพิ่มความขล ังให้กับการปลูกคับต้นจะได้ แข็งแรง เกี่ยวกันมั๊ย อิอิ
โยนเมล็ดแล้วก็กลบดินปิดเมล ็ดคับ การทำงานจริงของชาวสวนไม่ได ้ก้มลงใช้มือกลบนะคับแต่เรา ใช้มือที่3 คับ
เรียบร้อยคับได้ทั้งหมด 7 หลุมผมใส่หลุมละ 5 เมล็ด ปกติเมล็ดพันธุ์ดีแบบนี้ใส่ 3 เมล็ดก็เยอะแล้วแต่นี่เราไม ่ได้ทำเพื่อเศรษฐกิจและช่วง นี้แล้งมากจึงใส่เผื่อๆไว้น ะคับ เสร็จแล้วก็รดน้ำสักหน่อย เดี๋ยวค่อยมาตามกันต่อคราวห น้า ตอนเมล็ดงอกแล้วคับ
ใบทุเรียนเทศ
เก็บใบทุเรียนเทศ เจอลูกเล็ก ๆ ด้วย ดีใจจัง ที่บ้านมี4 ต้น ได้รับจากกัลยาณมิตร เกษตรพอเพียง ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า เพียงแต่ได้พูดคุยทักทาย
กันในเวปเกษตรฯเมื่อสามปีที่แล้ว....วันนี้ได้แบ่งปันแก่เพื่อนๆ..เป็นความหวังอีกทางของคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง
กันในเวปเกษตรฯเมื่อสามปีที่แล้ว....วันนี้ได้แบ่งปันแก่เพื่อนๆ..เป็นความหวังอีกทางของคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง
ใบทุเรียนเทศ |
สร้างสรรค์กระถางดอกไม้
กระถางดอกไม้ธรรมดาๆ แต่ถูกสร้างสรรค์ให้ ใช้ประโยชน์โดยการเอาต้นพริกมาปลูกแซมในกระถาง ได้ผลดีพริกดกมากค่ะ โรงครัวที่วัดมีพริกทำอาหารไม่ต้องซื้อ แถมเอื้อเฟื้อถึงชาวบ้านที่มาวัดด้วย
วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558
การดูแลเก็บรักษาเครื่องตัดหญ้า
การดูแลบำรุงรักษาเครื่องตัดหญ้าจะรวมถึงการพิจารณาน้ำมันเชื้อเพลิงข้างในถังน้ำมัน การเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน การกรองก่อนที่จะจัดเก็บเข้าที่ และการถอดแบตเตอรี่ นอกเหนือจากขั้นตอนเหล่านี้แล้ว เราควรชะล้างเครื่องตัดหญ้าอย่างรอบคอบก่อนที่จะนำไปจัดเก็บ สำหรับเครื่องตัดหญ้าควรถูกนำไปเก็บไว้ในเขตพื้นที่ที่มีความปลอดภัยจากสภาพอากาศที่เปียกชื้น อาจต้องคลุมเครื่องตัดหญ้าด้วยผ้าเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องตัดของพวกเขาจะปลอดภัยจากการเปียกฝน และสิ่งสกปรกต่างๆ ขั้นตอนการดูแลบำรุงรักษาเครื่องตัดหญ้าจะมีผลมากที่สุดในช่วงฤดูหนาว และฤดูฝน
การดูแลเก็บรักษาเครื่องตัดหญ้าในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน เครื่องตัดหญ้าจะถูกนำมาใช้งานเป็นบ่อยๆ เลยไม่จำเป็นต้องการการดูแลมากเท่ากับช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน ส่วนใหญ่จะเก็บเครื่องตัดหญ้าไว้ในเขตพื้นที่ที่ปลอดภัยจากลมฟ้าอากาศ และควรชำระล้างเครื่องตัดหญ้าเป็นประจำทั้งภายในและภายนอกอย่างน้อยหนึ่งครั้งหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว เพราะจะช่วยดูแลปัญหาบางส่วนที่อาจจะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์
เครื่องตัดหญ้าสูบน้ำ
การดูแลเก็บรักษาเครื่องตัดหญ้าในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน เครื่องตัดหญ้าจะถูกนำมาใช้งานเป็นบ่อยๆ เลยไม่จำเป็นต้องการการดูแลมากเท่ากับช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน ส่วนใหญ่จะเก็บเครื่องตัดหญ้าไว้ในเขตพื้นที่ที่ปลอดภัยจากลมฟ้าอากาศ และควรชำระล้างเครื่องตัดหญ้าเป็นประจำทั้งภายในและภายนอกอย่างน้อยหนึ่งครั้งหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว เพราะจะช่วยดูแลปัญหาบางส่วนที่อาจจะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558
เริ่นต้นปลูกผักโขมหนาม...กินมากคุณประโยชน์
มีหลายคนแคลงใจว่า "ผักโขมหนาม" หายาก ผลประโยชน์ทางยา ใบและต้น นำมาผัดกับตับหมู กินแก้โรคเบาหวาน ขับปัสสาวะ แก้ตกเลือด โขลกให้ละเอียดใช้พอกฝี จะช่วยเรียกหนองให้เกิดเร็ว ยุคสงครามใช้เป็นยาแก้โรคหนองใน แก้ขี้กลาก แก้แน่นท้อง ช่วยขับน้ำนม เป็นยายับยั้งความร้อน แก้ไข้ แก้เด็กลิ้นเป็นฝ้าละออง เบื่ออาหาร แก้ช้ำใน การนำผักโขมหนามมาทำอาหารกิน ใช้ใบยอดอ่อนที่สุด ซึ่งยอดใบก็มีหนามแหลมด้วย ต้องระวังในการเด็ด นำมาต้ม ลวก ผัด แกงได้ทั้งปวง สูตรอาหารใช้ในการแก้โรคเบาหวาน ใช้ต้นหรือกิ่งที่อวบใหญ่ยังไม่แก่มากนัก จนถึงกิ่งยอดอ่อน นำมาปอกเปลือกเอาเนื้อใน หั่นสไลซ์เป็นแผ่นบางๆ จะได้คล้ายเนื้อฟักอ่อน หรือคล้ายเนื้อบวบน้ำเต้า นำมาผัดน้ำมันหอยใส่ตับหมู ปรุงพริก กระเทียม เครื่องปรุงรสนิดหน่อย สุดยอดอาหารจานเด็ดเลย หรือจะนำมาเป็นผักต้ม โดยหั่นเป็นท่อนๆ ต้มสุกแล้วนำมาปอกเปลือกกินเนื้อในแกล้มน้ำพริกปลาย่าง ปลาร้า กรอบ หวาน นุ่มลิ้น มากประโยชน์
สารของพืชสีเขียวในพืชผักที่เรียกว่า "คลอโรฟิลล์" (chlorophyll) ผักที่มีสีเขียวเข้มมาก จะมีคลอโรฟิลล์มาก สารคลอโรฟิลล์มีคุณประโยชน์มาก เมื่อถูกย่อยแล้วมีพลังแรงมาก ในการปกป้องมะเร็ง ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่น
เหม็นในเนื้อตัวคนเราได้ พืชผักต่างๆ มีคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นยาวิเศษขนานแท้ มีมูลค่าถูก หาง่าย ที่ต้านสารอนุมูลอิสระ หรือสารกระตุ้นกระบวนการออกซิเดชั่น ที่เรารู้จักกันว่า สารก่อเกิดมะเร็ง
ในผักโขมก็เช่นกัน ไม่ว่าผักโขมหนาม ผักโขมหัด ผักขม ล้วนแต่มีคุณลักษณะในการต้านมะเร็งทั้งหมด ผักโขมหนามเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่าย แพร่กระจายพันธุ์เร็ว จนถูกนับจัดให้เป็นวัชพืช หรือพืชที่ไม่พึงต้องการของเกษตรกร
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558
ทำความรู้จักปั๊มน้ำกันเถอะ
ปั๊มน้ำ เป็นเครื่องไม้เครื่องมือไฟฟ้าอีกหมวดหนึ่งที่ใช้มาก ในอุตสาหกรรมและ ตามบ้านเรือน โดยเฉพาะตามที่พักอาศัยซึ่งเป็นอาคารชุด ตามอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ต่างๆ หรือในบางพื้นที่ที่ต้องการสูบน้ำจากใต้ ดินขึ้นมาใช้
ดังนั้นการรู้จักมักคุ้นซื้อ รู้จักวิธีการใช้และการติดตั้ง “ปั๊มน้ำ” อย่างถูกวิธีจะไม่ก่อให้ เกิดการรั่วไหลและสิ้นเปลืองพลังงานและเป็นการใช้ไฟฟ้าและใช้น้ำอย่างมี ประสิทธิภาพ และราคาปั๊มน้ำที่ถูกลงมาก
ชนิดของปั๊มน้ำ (ตามลักษณะการทำงาน)
ปั๊มแบบใบพัด
ปั๊มชนิดนี้ภายในเรือนปั๊ม จะมีใบพัด ดำเนินการสร้างความดัน จากการหมุนที่ความเร็วรอบสูงและแรงดันทำให้ น้ำไหลไปตามท่อที่ต่อ'ไว้ได้ นิยม นำมาใช้ใน อุตสาหกรรมและตามที่อยู่อาศัยทั่วไป เพราะ การไหลของนาจะต่อเนื่องสม่ำเสมอ
เครื่องปั๊มน้ำแบบลูกสูบ
ปั้มน้ำแผนกนี้เรือนปั๊มเป็นกระบอกสูบ ภายในจะมีลูกสูบ ทำหน้าที่สร้างความดันจากการเคลื่อนที่ของ ลูกสูบ ทำให้ความจุของ กระบอกสูบลดลงเกิดเป็นความดันเพื่อขับดันนาให้ไหลไปได้ แต่การไหลของนา จะเป็นช่วงๆ ตามจังหวะการเคลื่อนที่ของลูกสูบ ส่วนใหญ่นำไปใช่ในงาน ที่ต้องการความดันสูง
การทำงานของปั๊มน้ำ
ปั๊มน้ำที่ใช้ภายในบ้านเป็นชนิดที่มี ใบพัดภายในหัวปั๊มหรือเรือนปั๊ม ใบพัดเป็นตัวสร้างความดันเพื่อ ขับดันให้น้ำไหลไปได้โดยมีชุดสวิตซ์ความ ดันเป็นวัตถุควบคุมการทำงานของ ปั๊มน้ำ ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ท่อส่งน้ำ จะต่อโดยตรงกับจุดใช้น้ำ เช่นฝักบัว ก๊อกน้ำ ชักโครก เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเราเปิดฝักบัวหรือก๊อกน้ำ น้ำจะ ไหลออกจากท่อหรือระบบทำให้ความดัน ภาย ในท่อลดลงส่งผลให้เกิดการดัดต่อของ สวิตซ์ความดัน ปั๊มน้ำจึงทำงาน
การเปิดก๊อกน้ำมีผลต่อการทำงาน ของปั๊มน้ำเป็นอย่างมาก ถ้าเราเปิดก๊อก น้ำเพียง ตัว และน้ำไหลไม่แรงมากแล้ว การทำนจะไม่ตัดต่อบ่อยเพราะยังมี ความตันเหลืออยู่ในเส้นท่อมาก แต่ถ้าเรา เปิดก๊อกให้น้ำไหลแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่าให้ความดันสูญเสียเร็วขึ้นปั๊มน้ำก็จะ ท่างานบ่อยมากขึ้น ตังนั้นเพื่อเป็นการ ออมอดน้ำและ ไฟฟ้าควรเปิดก๊อกน้ำใช้ตามความจำเป็น แต่ในกรณีที่เราจำเป็นจะต้องเปิดใช้น้ำหลายจุด พร้อมกัน เช่น ใช้ฝักบัวอาบน้ำพร้อมกับล้างจานและรดน้ำต้นไม้ จะทำให้ปั๊มน้ำทำงานทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นการใช้น้ำในแต่ละจุดจึงไม่ควร เปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ทุกเมื่อ
วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558
เครื่องปั่นไฟช่วยระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทย
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (electric generator) คือ เครื่องกลที่ใช้สำหรับเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการทำงาน คือเมื่อสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดขดลวด หรือขดลวดเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กก็จะผลิตไฟฟ้าออกมา
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นเครื่องจักรกลที่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามหลักของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น
ปัจจุบันระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทยมีทั้งระบบการผลิตการส่งจ่ายและการจำหน่ายที่มีศักยภาพ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ครอบคลุมทุกพื้นดิน ทำให้สถานประกอบการมีกระแสไฟฟ้าใช้ได้ต่อเนื่องทั้งวัน แต่บางครั้งอาจจะเกิดข้อขัดข้องจากการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ความบกพร่องของเครื่องมือในระบบหรือการเกิดอุบัติเหตุ มีการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟู แก้ไข หรือปรับปรุงระบบสายส่งให้ดีขึ้น หรือมีการเชื่อมต่อสายส่งเพิ่มขึ้น การเกิดเหตุเภทภัยธรรมชาติ เช่น ลมพายุ ฝนฟ้าคะนอง ทำให้กิ่งไม้ในละแวกใกล้เคียงสายส่งหักพาดสาย ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดฟ้าผ่าลงบนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งข้อขัดข้องดังกล่าว ถึงแม้ทำให้มีความกระทบกระเทือนต่อบ้านพักอาศัยของมวลมนุษย์ไม่มากนัก แต่สำหรับสถานที่ประกอบการประเภทอาคารสูง โรงแรม โรงหมอ โรงงานอุตสาหกรรม จึงมีความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก เช่น ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ประจำอาคาร กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะหยุดชะงัก เป็นสาเหตุให้เกิดการเสียหายแก่สถานที่ประกอบการนั้น ๆ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้จ่ายพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังไฟฟ้าสำรองนี้ได้มาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง(Stand by Generator) นั่นเอง
ดังนั้น สถานที่ประกอบการจะต้องตรึกตรองเสียก่อนว่า กิจการของตนเองจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าที่ระดับความมั่นคงเพียงใด และกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าใดบ้างที่เป็นกิจกรรมที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดกระบวนการทำงานเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่ง (The National Fire Protection Association) ได้แยกระดับของความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าตามความสำคัญของภาระไฟฟ้าออกเป็น 4 ลำดับขั้น
ระดับที่ 1 ระบบไฟฟ้าฉับพลันเพื่อความปลอดภัยในชีวิต เช่น ระบบไฟแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และระบบป้องกันเพลิงไหม้ เป็นต้น
ระดับที่ 2 ระบบไฟฟ้าเร่งด่วนเพื่อปกป้องความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม เช่น ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูลหลัก ศูนย์จัดเก็บข้อมูลของธนาคาร ระบบไฟฟ้าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล เป็นต้น
ระดับที่ 3 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหาย ทางเศรษฐกิจเนื่องจากกระบวนการผลิตต่างๆ หยุดชะงัก เช่น การผลิตส่วนประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอาหาร การผลิตทางเคมี การกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
ระดับที่ 4 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อปกป้องกระบวนการทำงานมิให้เกิดการหยุดชะงัก จนทำให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเกิดความเสียหายได้ เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบหล่อลื่น เป็นต้น
เพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องปั่นไฟเก็บสำรองไว้ใช้งาน
เครื่องปั่นไฟมี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator) สำหรับเครื่องปั่นไฟที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องปั่นไฟชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด เนื่องมาจากสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องปั่นไฟแบบ 1 เฟส
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นเครื่องจักรกลที่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามหลักของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น
ปัจจุบันระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทยมีทั้งระบบการผลิตการส่งจ่ายและการจำหน่ายที่มีศักยภาพ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ครอบคลุมทุกพื้นดิน ทำให้สถานประกอบการมีกระแสไฟฟ้าใช้ได้ต่อเนื่องทั้งวัน แต่บางครั้งอาจจะเกิดข้อขัดข้องจากการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ความบกพร่องของเครื่องมือในระบบหรือการเกิดอุบัติเหตุ มีการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟู แก้ไข หรือปรับปรุงระบบสายส่งให้ดีขึ้น หรือมีการเชื่อมต่อสายส่งเพิ่มขึ้น การเกิดเหตุเภทภัยธรรมชาติ เช่น ลมพายุ ฝนฟ้าคะนอง ทำให้กิ่งไม้ในละแวกใกล้เคียงสายส่งหักพาดสาย ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดฟ้าผ่าลงบนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งข้อขัดข้องดังกล่าว ถึงแม้ทำให้มีความกระทบกระเทือนต่อบ้านพักอาศัยของมวลมนุษย์ไม่มากนัก แต่สำหรับสถานที่ประกอบการประเภทอาคารสูง โรงแรม โรงหมอ โรงงานอุตสาหกรรม จึงมีความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก เช่น ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ประจำอาคาร กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะหยุดชะงัก เป็นสาเหตุให้เกิดการเสียหายแก่สถานที่ประกอบการนั้น ๆ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้จ่ายพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังไฟฟ้าสำรองนี้ได้มาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง(Stand by Generator) นั่นเอง
ดังนั้น สถานที่ประกอบการจะต้องตรึกตรองเสียก่อนว่า กิจการของตนเองจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าที่ระดับความมั่นคงเพียงใด และกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าใดบ้างที่เป็นกิจกรรมที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดกระบวนการทำงานเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่ง (The National Fire Protection Association) ได้แยกระดับของความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าตามความสำคัญของภาระไฟฟ้าออกเป็น 4 ลำดับขั้น
ระดับที่ 1 ระบบไฟฟ้าฉับพลันเพื่อความปลอดภัยในชีวิต เช่น ระบบไฟแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และระบบป้องกันเพลิงไหม้ เป็นต้น
ระดับที่ 2 ระบบไฟฟ้าเร่งด่วนเพื่อปกป้องความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม เช่น ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูลหลัก ศูนย์จัดเก็บข้อมูลของธนาคาร ระบบไฟฟ้าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล เป็นต้น
ระดับที่ 3 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหาย ทางเศรษฐกิจเนื่องจากกระบวนการผลิตต่างๆ หยุดชะงัก เช่น การผลิตส่วนประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอาหาร การผลิตทางเคมี การกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
ระดับที่ 4 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อปกป้องกระบวนการทำงานมิให้เกิดการหยุดชะงัก จนทำให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเกิดความเสียหายได้ เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบหล่อลื่น เป็นต้น
เพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องปั่นไฟเก็บสำรองไว้ใช้งาน
เครื่องปั่นไฟมี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator) สำหรับเครื่องปั่นไฟที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องปั่นไฟชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด เนื่องมาจากสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องปั่นไฟแบบ 1 เฟส
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558
ข้อคิดก่อนซื้อปั๊มน้ใช้ภายในบ้าน
ปั๊มน้ำ เป็นเครื่องไม้เครื่องมือไฟฟ้าอีกหมวดหนึ่งที่ใช้มาก ในอุตสาหกรรมและ ตามบ้านเรือน โดยเฉพาะตามที่พักอาศัยซึ่งเป็นอาคารชุด ตามอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ต่างๆ หรือในบางพื้นที่ที่ต้องการสูบน้ำจากใต้ ดินขึ้นมาใช้
ดังนั้นการรู้จักมักคุ้นซื้อ รู้จักวิธีการใช้และการติดตั้ง “ปั๊มน้ำ” อย่างถูกวิธีจะไม่ก่อให้ เกิดการรั่วไหลและสิ้นเปลืองพลังงานและเป็นการใช้ไฟฟ้าและใช้น้ำอย่างมี ประสิทธิภาพ และราคาปั๊มน้ำที่ถูกลงมาก
ชนิดของปั๊มน้ำ (ตามลักษณะการทำงาน)
ปั๊มแบบใบพัด
ปั๊มชนิดนี้ภายในเรือนปั๊ม จะมีใบพัด ดำเนินการสร้างความดัน จากการหมุนที่ความเร็วรอบสูงและแรงดันทำให้ น้ำไหลไปตามท่อที่ต่อ'ไว้ได้ นิยม นำมาใช้ใน อุตสาหกรรมและตามที่อยู่อาศัยทั่วไป เพราะ การไหลของนาจะต่อเนื่องสม่ำเสมอ
เครื่องปั๊มน้ำแบบลูกสูบ
ปั้มน้ำแผนกนี้เรือนปั๊มเป็นกระบอกสูบ ภายในจะมีลูกสูบ ทำหน้าที่สร้างความดันจากการเคลื่อนที่ของ ลูกสูบ ทำให้ความจุของ กระบอกสูบลดลงเกิดเป็นความดันเพื่อขับดันนาให้ไหลไปได้ แต่การไหลของนา จะเป็นช่วงๆ ตามจังหวะการเคลื่อนที่ของลูกสูบ ส่วนใหญ่นำไปใช่ในงาน ที่ต้องการความดันสูง
การทำงานของปั๊มน้ำ
ปั๊มน้ำที่ใช้ภายในบ้านเป็นชนิดที่มี ใบพัดภายในหัวปั๊มหรือเรือนปั๊ม ใบพัดเป็นตัวสร้างความดันเพื่อ ขับดันให้น้ำไหลไปได้โดยมีชุดสวิตซ์ความ ดันเป็นวัตถุควบคุมการทำงานของ ปั๊มน้ำ ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ท่อส่งน้ำ จะต่อโดยตรงกับจุดใช้น้ำ เช่นฝักบัว ก๊อกน้ำ ชักโครก เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเราเปิดฝักบัวหรือก๊อกน้ำ น้ำจะ ไหลออกจากท่อหรือระบบทำให้ความดัน ภาย ในท่อลดลงส่งผลให้เกิดการดัดต่อของ สวิตซ์ความดัน ปั๊มน้ำจึงทำงาน
การเปิดก๊อกน้ำมีผลต่อการทำงาน ของปั๊มน้ำเป็นอย่างมาก ถ้าเราเปิดก๊อก น้ำเพียง ตัว และน้ำไหลไม่แรงมากแล้ว การทำนจะไม่ตัดต่อบ่อยเพราะยังมี ความตันเหลืออยู่ในเส้นท่อมาก แต่ถ้าเรา เปิดก๊อกให้น้ำไหลแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่าให้ความดันสูญเสียเร็วขึ้นปั๊มน้ำก็จะ ท่างานบ่อยมากขึ้น ตังนั้นเพื่อเป็นการ ออมอดน้ำและ ไฟฟ้าควรเปิดก๊อกน้ำใช้ตามความจำเป็น แต่ในกรณีที่เราจำเป็นจะต้องเปิดใช้น้ำหลายจุด พร้อมกัน เช่น ใช้ฝักบัวอาบน้ำพร้อมกับล้างจานและรดน้ำต้นไม้ จะทำให้ปั๊มน้ำทำงานทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นการใช้น้ำในแต่ละจุดจึงไม่ควร เปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ทุกเมื่อ
วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าทางเศรษฐกิจ
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generate electricity) คือ เครื่องยนต์ที่ใช้สำหรับแปลงพลังงานกลเป็นแรงงานไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการทำงาน คือเมื่อสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดขดลวด หรือขดลวดเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กก็จะเกิดไฟฟ้าออกมา
เครื่องปั่นไฟเป็นเครื่องจักรกลที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามหลักการของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น
ปัจจุบันนี้ระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทยมีทั้งระบบการผลิตการส่งจ่ายและการจำหน่ายที่มีศักยภาพ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ครอบคลุมทุกภูมิประเทศ ทำให้สถานที่ประกอบการมีกระแสไฟฟ้าใช้ได้ต่อเนื่องทั้งวัน แต่บางครั้งอาจจะเกิดข้อขัดข้องจากการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ความบกพร่องของอุปกรณ์ในระบบหรือการเกิดอุบัติเหตุ มีการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟู แก้ไข หรือปรับปรุงระบบสายส่งให้ดีขึ้น หรือมีการเชื่อมต่อสายส่งเพิ่มขึ้น การเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ลมพายุ ฝนฟ้าคะนอง ทำให้กิ่งไม้ในละแวกใกล้เคียงสายส่งหักพาดสาย ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดฟ้าผ่าลงบนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งข้อติดขัดดังกล่าว ถึงแม้ทำให้มีผลกระทบต่อบ้านพักอาศัยของประชากรไม่มากนัก แต่สำหรับสถานประกอบการประเภทอาคารสูง โฮเต็ล โรงหมอ โรงงานอุตสาหกรรม จึงมีความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก เช่น ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ประจำอาคาร ขบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะหยุดชะงัก เป็นสาเหตุให้เกิดการเสียหายแก่สถานที่ประกอบการนั้น ๆ เพราะเช่นนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้จ่ายพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังไฟฟ้าสำรองนี้ได้มาจากเครื่องปั่นไฟสำรอง(Stand by Generator) นั่นเอง
ดังนั้น สถานที่ประกอบการจะต้องคิดทบทวนเสียก่อนว่า กิจการค้าของตนเองจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าที่ระดับความเสถียรเพียงใด และกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าใดบ้างที่เป็นกิจกรรมที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดกระบวนการทำงานเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่ง NFPA ได้แบ่งระดับของความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าตามความสำคัญของภาระไฟฟ้าออกเป็น 4 ลำดับขั้น
ระดับที่ 1 ระบบไฟฟ้าฉับพลันเพื่อความปลอดภัยในชีวิต เช่น ระบบไฟแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และระบบป้องกันเพลิงไหม้ เป็นต้น
ระดับที่ 2 ระบบไฟฟ้าเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม เช่น ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูลหลัก ศูนย์จัดเก็บข้อมูลของธนาคาร ระบบไฟฟ้าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล เป็นต้น
ระดับที่ 3 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันความล้มเหลว ทางเศรษฐกิจเนื่องจากกระบวนการผลิตต่างๆ หยุดชะงัก เช่น การผลิตส่วนประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอาหาร การผลิตทางเคมี การกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
ระดับที่ 4 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อดูแลกระบวนการทำงานมิให้เกิดการหยุดชะงัก จนทำให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเกิดความเสียหายได้ เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบหล่อลื่น เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองไว้ใช้งาน
เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator) สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องปั่นไฟชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด เพราะว่าสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบ 1 เฟส
เครื่องปั่นไฟเป็นเครื่องจักรกลที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามหลักการของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น
ปัจจุบันนี้ระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทยมีทั้งระบบการผลิตการส่งจ่ายและการจำหน่ายที่มีศักยภาพ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ครอบคลุมทุกภูมิประเทศ ทำให้สถานที่ประกอบการมีกระแสไฟฟ้าใช้ได้ต่อเนื่องทั้งวัน แต่บางครั้งอาจจะเกิดข้อขัดข้องจากการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ความบกพร่องของอุปกรณ์ในระบบหรือการเกิดอุบัติเหตุ มีการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟู แก้ไข หรือปรับปรุงระบบสายส่งให้ดีขึ้น หรือมีการเชื่อมต่อสายส่งเพิ่มขึ้น การเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ลมพายุ ฝนฟ้าคะนอง ทำให้กิ่งไม้ในละแวกใกล้เคียงสายส่งหักพาดสาย ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดฟ้าผ่าลงบนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งข้อติดขัดดังกล่าว ถึงแม้ทำให้มีผลกระทบต่อบ้านพักอาศัยของประชากรไม่มากนัก แต่สำหรับสถานประกอบการประเภทอาคารสูง โฮเต็ล โรงหมอ โรงงานอุตสาหกรรม จึงมีความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก เช่น ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ประจำอาคาร ขบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะหยุดชะงัก เป็นสาเหตุให้เกิดการเสียหายแก่สถานที่ประกอบการนั้น ๆ เพราะเช่นนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้จ่ายพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังไฟฟ้าสำรองนี้ได้มาจากเครื่องปั่นไฟสำรอง(Stand by Generator) นั่นเอง
ดังนั้น สถานที่ประกอบการจะต้องคิดทบทวนเสียก่อนว่า กิจการค้าของตนเองจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าที่ระดับความเสถียรเพียงใด และกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าใดบ้างที่เป็นกิจกรรมที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดกระบวนการทำงานเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่ง NFPA ได้แบ่งระดับของความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าตามความสำคัญของภาระไฟฟ้าออกเป็น 4 ลำดับขั้น
ระดับที่ 1 ระบบไฟฟ้าฉับพลันเพื่อความปลอดภัยในชีวิต เช่น ระบบไฟแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และระบบป้องกันเพลิงไหม้ เป็นต้น
ระดับที่ 2 ระบบไฟฟ้าเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม เช่น ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูลหลัก ศูนย์จัดเก็บข้อมูลของธนาคาร ระบบไฟฟ้าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล เป็นต้น
ระดับที่ 3 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันความล้มเหลว ทางเศรษฐกิจเนื่องจากกระบวนการผลิตต่างๆ หยุดชะงัก เช่น การผลิตส่วนประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอาหาร การผลิตทางเคมี การกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
ระดับที่ 4 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อดูแลกระบวนการทำงานมิให้เกิดการหยุดชะงัก จนทำให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเกิดความเสียหายได้ เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบหล่อลื่น เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองไว้ใช้งาน
เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator) สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องปั่นไฟชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด เพราะว่าสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบ 1 เฟส
วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
เครื่องปั่นไฟสำหรับสถานประกอบการ อาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม
เครื่องปั่นไฟ (electric generator) คือ เครื่องกลที่ใช้สำหรับเปลี่ยนพลังงานกลเป็นแรงงานไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการทำงาน คือเมื่อสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดขดลวด หรือขดลวดเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กก็จะเกิดไฟฟ้าออกมา
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามแนวทางของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น
สมัยปัจจุบันระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทยมีทั้งระบบการผลิตการส่งจ่ายและการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ครอบคลุมทุกภาค ทำให้สถานที่ประกอบการมีกระแสไฟฟ้าใช้ได้ต่อเนื่องทั้งวัน แต่บางครั้งอาจจะเกิดข้อขัดข้องจากการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ความขาดตกบกพร่องของเครื่องมือในระบบหรือการเกิดอุบัติเหตุ มีการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟู แก้ไข หรือปรับปรุงระบบสายส่งให้ดีขึ้น หรือมีการเชื่อมต่อสายส่งเพิ่มขึ้น การเกิดเภทภัยธรรมชาติ เช่น ลมพายุ ฝนฟ้าคะนอง ทำให้กิ่งไม้ในละแวกใกล้เคียงสายส่งหักพาดสาย ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดฟ้าผ่าลงบนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งข้อขัดข้องดังกล่าว ถึงแม้ทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อบ้านพักอาศัยของประชาชนไม่มากนัก แต่สำหรับสถานประกอบการประเภทอาคารสูง โฮเต็ล โรงหมอ โรงงานอุตสาหกรรม จึงมีความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก เช่น ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ประจำอาคาร กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะหยุดชะงัก เป็นเหตุให้เกิดการเสียหายแก่สถานที่ประกอบการนั้น ๆ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้จ่ายพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังไฟฟ้าสำรองนี้ได้มาจากเครื่องปั่นไฟสำรอง(Stand by Generator) นั่นเอง
เพราะเช่นนั้น สถานประกอบการจะต้องตรวจสอบเสียก่อนว่า กิจการค้าของตนเองจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าที่ระดับความปลอดภัยเพียงใด และกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าใดบ้างที่เป็นกิจกรรมที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดกระบวนการทำงานเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่ง NFPA ได้แบ่งแยกระดับของความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าตามความสำคัญของภาระไฟฟ้าออกเป็น 4 ลำดับขั้น
ระดับที่ 1 ระบบไฟฟ้าเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยในชีวิต เช่น ระบบไฟแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และระบบป้องกันเพลิงไหม้ เป็นต้น
ระดับที่ 2 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อปกป้องความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม เช่น ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูลหลัก ศูนย์จัดเก็บข้อมูลของธนาคาร ระบบไฟฟ้าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล เป็นต้น
ระดับที่ 3 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหาย ทางเศรษฐกิจเนื่องจากกระบวนการผลิตต่างๆ หยุดชะงัก เช่น การผลิตส่วนประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอาหาร การผลิตทางเคมี การกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
ระดับที่ 4 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อรักษากระบวนการทำงานมิให้เกิดการหยุดชะงัก จนทำให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเกิดความเสียหายได้ เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบหล่อลื่น เป็นต้น
เพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเผื่อไว้ไว้ใช้งาน
เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator) สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องปั่นไฟชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด ด้วยเหตุว่าสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องปั่นไฟแบบ 1 เฟส
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามแนวทางของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น
สมัยปัจจุบันระบบไฟฟ้าภายในประเทศไทยมีทั้งระบบการผลิตการส่งจ่ายและการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ครอบคลุมทุกภาค ทำให้สถานที่ประกอบการมีกระแสไฟฟ้าใช้ได้ต่อเนื่องทั้งวัน แต่บางครั้งอาจจะเกิดข้อขัดข้องจากการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ความขาดตกบกพร่องของเครื่องมือในระบบหรือการเกิดอุบัติเหตุ มีการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อฟื้นฟู แก้ไข หรือปรับปรุงระบบสายส่งให้ดีขึ้น หรือมีการเชื่อมต่อสายส่งเพิ่มขึ้น การเกิดเภทภัยธรรมชาติ เช่น ลมพายุ ฝนฟ้าคะนอง ทำให้กิ่งไม้ในละแวกใกล้เคียงสายส่งหักพาดสาย ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดฟ้าผ่าลงบนสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
ซึ่งข้อขัดข้องดังกล่าว ถึงแม้ทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อบ้านพักอาศัยของประชาชนไม่มากนัก แต่สำหรับสถานประกอบการประเภทอาคารสูง โฮเต็ล โรงหมอ โรงงานอุตสาหกรรม จึงมีความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก เช่น ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ประจำอาคาร กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะหยุดชะงัก เป็นเหตุให้เกิดการเสียหายแก่สถานที่ประกอบการนั้น ๆ เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีกำลังไฟฟ้าสำรองไว้จ่ายพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังไฟฟ้าสำรองนี้ได้มาจากเครื่องปั่นไฟสำรอง(Stand by Generator) นั่นเอง
เพราะเช่นนั้น สถานประกอบการจะต้องตรวจสอบเสียก่อนว่า กิจการค้าของตนเองจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าที่ระดับความปลอดภัยเพียงใด และกิจกรรมการใช้ไฟฟ้าใดบ้างที่เป็นกิจกรรมที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดกระบวนการทำงานเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่ง NFPA ได้แบ่งแยกระดับของความเชื่อถือของระบบไฟฟ้าตามความสำคัญของภาระไฟฟ้าออกเป็น 4 ลำดับขั้น
ระดับที่ 1 ระบบไฟฟ้าเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยในชีวิต เช่น ระบบไฟแสงสว่าง ระบบระบายอากาศ และระบบป้องกันเพลิงไหม้ เป็นต้น
ระดับที่ 2 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อปกป้องความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม เช่น ระบบควบคุมและจัดเก็บข้อมูลหลัก ศูนย์จัดเก็บข้อมูลของธนาคาร ระบบไฟฟ้าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล เป็นต้น
ระดับที่ 3 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหาย ทางเศรษฐกิจเนื่องจากกระบวนการผลิตต่างๆ หยุดชะงัก เช่น การผลิตส่วนประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอาหาร การผลิตทางเคมี การกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
ระดับที่ 4 ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเพื่อรักษากระบวนการทำงานมิให้เกิดการหยุดชะงัก จนทำให้เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเกิดความเสียหายได้ เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบหล่อลื่น เป็นต้น
เพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเผื่อไว้ไว้ใช้งาน
เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator) สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องปั่นไฟชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด ด้วยเหตุว่าสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องปั่นไฟแบบ 1 เฟส
วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
กระทรวงสหกรณ์เพิ่มพูนกำลังซื้อและแปรรูปยางพารา อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์
นายโอภาส กลั่นบุศย์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวในระหว่างการตรวจเยี่ยมการรวบรวมและแปรรูปยางพาราของ สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านเขาซก จำกัด ต.เขาซก อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรีโดยใช้เครื่องพ่นยา ราคาถูก เมื่อวันก่อนถึงแนวทางและมาตรการของกรมฯ ในการส่งเสริมสนับสนุนให้สหกรณ์มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ด้านการจัดการยางพาราว่า
ทางกรมสหกรณ์ ได้ชักจูงส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราตามศักยภาพ และความพร้อมของแต่ละสหกรณ์ เน้นให้มีการผลิตยางคุณภาพ โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานกองทุนสวนยาง สำนักงานตลาดกลางยางพารา ไปให้ความรอบรู้ในการผลิตยางคุณภาพตามมาตรฐาน และสนับสนุนให้โรงงานแปรรูปยางอัดก้อนของสหกรณ์ที่มีอยู่แล้วผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP ส่งเสริมการระดมทุนภายในสหกรณ์ ทั้งทุนเรือนหุ้น และการออมของสมาชิก
และการเสริมสร้างองค์ความรู้การดำเนินธุรกิจยางพาราให้แก่บุคลากรของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เช่น การบริหารจัดการธุรกิจยางพารา การรวบรวมรับซื้อยางพารา การบริการ การแปรรูปยางพารา ตลอดถึงความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์ นโยบาย และวิธีการสหกรณ์เพื่อการบริหารธุรกิจยางพารา เป็นต้น
และในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินแผนการตามแนวทางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 โครงการ คือ 1.แผนการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สหกรณ์เพื่อรวบรวมยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ให้กับสหกรณ์ทุกประเภท ตลอดถึงกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยาง มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่พึงประสงค์จะยื่นขอกู้ตามโครงการฯ จำนวน 527 แห่ง เป็นเงิน 5,078.15 ล้านบาท ได้รับอนุมัติจาก ธ.ก.ส. แล้ว 69 แห่ง เป็นเงิน 959.10 ล้านบาทเพื่อซื้อเครื่องมือการเกษตรในราคาที่ถูกลง เช่น เครื่องพ่นยาไฟฟ้า ถึงวันวันที่ 28 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมามีการเบิกเงินจาก ธ.ก.ส. แล้ว 52 แห่งเป็นเงิน 376.37 ล้านบาท ส่วนการรวบรวมรับซื้อยางพาราของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน–29 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรรวม 352 แห่งในพื้นที่ 40 จังหวัด รวบรวมรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์รวม 70,669.02 ตัน มูลค่า 2,865.59 ล้านบาท
โครงการที่ 2 ให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา ภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลงทุนในการขยายกำลังผลิต หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว หรือนำไปลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่ายางพารา และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการแปรรูปยางพารา มีสหกรณ์ยื่นความประสงค์ในการขอกู้เงินเพื่อแปรรูปในเบื้องต้น 245 แห่ง และยื่นกู้ตามโครงการฯ จำนวน 200 แห่ง เป็นเงิน 4,421.625 ล้านบาท
“การช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีเครื่องพ่นยาไฟฟ้าฝช้และ มีแหล่งขายยางพาราในระดับพื้นที่ได้มากขึ้นนั้นนับเป็นการช่วยลดต้นทุนการขนส่งระหว่างแหล่งผลิตกับตลาดให้กับเกษตรกร ขณะเดียวกันเกษตรกรก็จะได้รับเงินจากการขายในทันที เป็นการเพิ่มสภาพคล่องของระบบการเงินให้กับวงการผลิตยางพาราที่เห็นได้อย่างชัดเจน“ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พูดในที่ประชุม
credit . http://www.vigotech.co.th/index.php?lay=show&ac=cat_showcat&l=2&cid=89465
ทางกรมสหกรณ์ ได้ชักจูงส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราตามศักยภาพ และความพร้อมของแต่ละสหกรณ์ เน้นให้มีการผลิตยางคุณภาพ โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานกองทุนสวนยาง สำนักงานตลาดกลางยางพารา ไปให้ความรอบรู้ในการผลิตยางคุณภาพตามมาตรฐาน และสนับสนุนให้โรงงานแปรรูปยางอัดก้อนของสหกรณ์ที่มีอยู่แล้วผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP ส่งเสริมการระดมทุนภายในสหกรณ์ ทั้งทุนเรือนหุ้น และการออมของสมาชิก
และการเสริมสร้างองค์ความรู้การดำเนินธุรกิจยางพาราให้แก่บุคลากรของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เช่น การบริหารจัดการธุรกิจยางพารา การรวบรวมรับซื้อยางพารา การบริการ การแปรรูปยางพารา ตลอดถึงความรู้เกี่ยวกับอุดมการณ์ นโยบาย และวิธีการสหกรณ์เพื่อการบริหารธุรกิจยางพารา เป็นต้น
และในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินแผนการตามแนวทางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 โครงการ คือ 1.แผนการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สหกรณ์เพื่อรวบรวมยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ให้กับสหกรณ์ทุกประเภท ตลอดถึงกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยาง มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่พึงประสงค์จะยื่นขอกู้ตามโครงการฯ จำนวน 527 แห่ง เป็นเงิน 5,078.15 ล้านบาท ได้รับอนุมัติจาก ธ.ก.ส. แล้ว 69 แห่ง เป็นเงิน 959.10 ล้านบาทเพื่อซื้อเครื่องมือการเกษตรในราคาที่ถูกลง เช่น เครื่องพ่นยาไฟฟ้า ถึงวันวันที่ 28 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมามีการเบิกเงินจาก ธ.ก.ส. แล้ว 52 แห่งเป็นเงิน 376.37 ล้านบาท ส่วนการรวบรวมรับซื้อยางพาราของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน–29 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรรวม 352 แห่งในพื้นที่ 40 จังหวัด รวบรวมรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์รวม 70,669.02 ตัน มูลค่า 2,865.59 ล้านบาท
โครงการที่ 2 ให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา ภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลงทุนในการขยายกำลังผลิต หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว หรือนำไปลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่ายางพารา และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการแปรรูปยางพารา มีสหกรณ์ยื่นความประสงค์ในการขอกู้เงินเพื่อแปรรูปในเบื้องต้น 245 แห่ง และยื่นกู้ตามโครงการฯ จำนวน 200 แห่ง เป็นเงิน 4,421.625 ล้านบาท
“การช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีเครื่องพ่นยาไฟฟ้าฝช้และ มีแหล่งขายยางพาราในระดับพื้นที่ได้มากขึ้นนั้นนับเป็นการช่วยลดต้นทุนการขนส่งระหว่างแหล่งผลิตกับตลาดให้กับเกษตรกร ขณะเดียวกันเกษตรกรก็จะได้รับเงินจากการขายในทันที เป็นการเพิ่มสภาพคล่องของระบบการเงินให้กับวงการผลิตยางพาราที่เห็นได้อย่างชัดเจน“ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พูดในที่ประชุม
credit . http://www.vigotech.co.th/index.php?lay=show&ac=cat_showcat&l=2&cid=89465
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558
ต่อตอนที่2 วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย
-มะละกอพันธุ์ครั่ง เป็นมะละกอดิบหรือส้มตำพันธุ์ใหม่ที่ใช้ยาฆ่าแมลงและใช้เครื่องพ่นยาน้อย และที่มีผู้สื่อข่าวทำข่าวกันมากจนทำให้เกษตรกรปลูกกันเยอะมากๆ โดยชูข้อดีตรงที่เนื้อ
กรอบ มากๆ และ อร่อย หลังเก็บจากต้นแล้ว สดอยู่ได้นานกว่าพันธุ์อื่น 5-6 วันก็ยังไม่เหี่ยว และบอกว่าทนทานไวรัสจุดวงแหวนได้ดี(อันนี้จริงเปล่าไม่รู้) แต่จุดด้อยก็คือ ผลมีร่องทำให้
เวลาปอกเปลือก เปลือกสีเขียวจะติดอยู่ในร่องนั้น ขูดเส้นยาก ตอนนี้เริ่มมีปัญหาด้านตลาดแต่นักค้นคว้าก็ยังเพิ่งเปิดตัวครั่งพันธุ์ใหม่เนื้อเหลืองไปเมื่อเดือนที่แล้วอีกซึ่งครั่งเนื้อเหลือง
จะทำให้เส้นส้มตำน่ารับประทานมากขึ้น คนเขียนข่าวประโคมข่าวอีกเช่นเดิมแต่ปัญหาร่องที่ผลจะทำให้แม่ค้ายอมรับได้แค่ไหนต้องเกาะติดกันต่อไป
-มะละกอเรดเลดี้ เป็นพันธุ์ลูกผสมจากไต้หวัน จัดจำหน่ายพันธุ์โดยบริษัทเครื่องมือการเกษตรเพื่อนเกษตรกร ที่จะเน้นจำหน่ายในลักษณะต้นกล้า ราคาต้นละ 50 บาท แต่ช่วงหลังก็มี
การเก็บเมล็ดพันธุ์ขายกัน และเพาะกันเอง ต้นที่ได้จะแตกต่างจากรูปร่างเดิมบ้างแต่ไม่มาก ตลาดรับได้ เรดเลดี้ป้อนตลาดกินสกุ แต่ตลาดก็จำกัด เป็นที่นิยมเฉพาะเขตภาคใต้แต่ก็รับ
ได้ในปริมาณไม่มาก ราคาขายสุกสูงประมาณ 30-50 บาท/กก.ป้อนโรงแรมและขายนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ช่วงมะกอขาดตลาดก็จะมีเรดเลดี้เข้ามาในตลาดบ้าง แต่ราคาขายกลับกำไร
น้อยกว่าฮอลแลนด์ในตลาดอื่นๆยกเว้นภาคใต้ พันธุ์นี้ปลูกที่อื่นก็ยังต้องส่งไปขายที่ใต้
-มะละกอเรดแคริเบี้ยน เป็นอีกพันธุ์ที่มีการโฆษณา การโฆษณาผ่านสื่อเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ(เพราะคนเผยแพร่พันธุ์อยู่ในวงการสื่อ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัด
พิจิตร)เป็นมะละกอลูกใหญ่ 3-5 กก. ด้วยขนาดลูกที่โตมากจึงเป็นได้แค่มะละกอโรงงาน ที่ราคารับซื้ออยู่ในช่วง 2-5 บาท/กก.เท่านั้น เมล็ดพันธุ์แพง ไม่แน่ใจว่าเม็ดละ 5-7 บาท รึ
เปล่า
-มะละกอฮาวายหรือซันไรส์ เป็นมะละกอผลลูกเล็ก ขนาดผล 5-7 ขีด ตลาดค่อนข้างจำกัด ปลูกกันมากเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีตลาดที่ชัดเจน คนซื้อมีไม่มาก ซื้อป้อนตลาดห้างกับส่ง
ออก ขายตลาดทั่วไปยาก แต่ราคาซื้อ-ขายค่อนข้างสูง กก.ละ 20-25 บาท
-มะละกอขอนแก่น 80 เป็นมะละกอผลลูกเล็กที่พัฒนาพันธุ์ขึ้นมาโดยหวังมาแข่งกับฮาวายเพราะขอนแก่น 80 ลูกใหญ่กว่า เนื้อหนากว่า อร่อยกว่า แต่ด้วยความเป็นมะละกอลูกเล็กที่
ตลาดจำกัดมากๆอยู่แล้วเลยขายได้ไม่มาก ตอนนี้เริ่มหายไปจากตลาดและแทบไม่มีการพูดถึง
จะปลูกมะละกอพันธุ์ไหน ต้องหาแหล่งที่ขายให้ก่อนดีค่ะ อย่าลืมว่ามะละกอใช้เวลานาน 5-6 เดือนจึงเก็บขายดิบได้ และ 8-9 เดือนจึงเก็บสุกขายได้ หาที่ตลาดให้ชัดเจน มะละกอทุก
พันธุ์ป้อนโรงงานได้ทั้งหมดเพราะโรงงานซื้อทุกสายพันธ์ สุดท้ายก็ไปเจอกันที่โรงงานหากคุณหาที่ไปไม่ได้...ขอให้โชคดีค่ะ
กรอบ มากๆ และ อร่อย หลังเก็บจากต้นแล้ว สดอยู่ได้นานกว่าพันธุ์อื่น 5-6 วันก็ยังไม่เหี่ยว และบอกว่าทนทานไวรัสจุดวงแหวนได้ดี(อันนี้จริงเปล่าไม่รู้) แต่จุดด้อยก็คือ ผลมีร่องทำให้
เวลาปอกเปลือก เปลือกสีเขียวจะติดอยู่ในร่องนั้น ขูดเส้นยาก ตอนนี้เริ่มมีปัญหาด้านตลาดแต่นักค้นคว้าก็ยังเพิ่งเปิดตัวครั่งพันธุ์ใหม่เนื้อเหลืองไปเมื่อเดือนที่แล้วอีกซึ่งครั่งเนื้อเหลือง
จะทำให้เส้นส้มตำน่ารับประทานมากขึ้น คนเขียนข่าวประโคมข่าวอีกเช่นเดิมแต่ปัญหาร่องที่ผลจะทำให้แม่ค้ายอมรับได้แค่ไหนต้องเกาะติดกันต่อไป
-มะละกอเรดเลดี้ เป็นพันธุ์ลูกผสมจากไต้หวัน จัดจำหน่ายพันธุ์โดยบริษัทเครื่องมือการเกษตรเพื่อนเกษตรกร ที่จะเน้นจำหน่ายในลักษณะต้นกล้า ราคาต้นละ 50 บาท แต่ช่วงหลังก็มี
การเก็บเมล็ดพันธุ์ขายกัน และเพาะกันเอง ต้นที่ได้จะแตกต่างจากรูปร่างเดิมบ้างแต่ไม่มาก ตลาดรับได้ เรดเลดี้ป้อนตลาดกินสกุ แต่ตลาดก็จำกัด เป็นที่นิยมเฉพาะเขตภาคใต้แต่ก็รับ
ได้ในปริมาณไม่มาก ราคาขายสุกสูงประมาณ 30-50 บาท/กก.ป้อนโรงแรมและขายนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ช่วงมะกอขาดตลาดก็จะมีเรดเลดี้เข้ามาในตลาดบ้าง แต่ราคาขายกลับกำไร
น้อยกว่าฮอลแลนด์ในตลาดอื่นๆยกเว้นภาคใต้ พันธุ์นี้ปลูกที่อื่นก็ยังต้องส่งไปขายที่ใต้
-มะละกอเรดแคริเบี้ยน เป็นอีกพันธุ์ที่มีการโฆษณา การโฆษณาผ่านสื่อเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ(เพราะคนเผยแพร่พันธุ์อยู่ในวงการสื่อ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัด
พิจิตร)เป็นมะละกอลูกใหญ่ 3-5 กก. ด้วยขนาดลูกที่โตมากจึงเป็นได้แค่มะละกอโรงงาน ที่ราคารับซื้ออยู่ในช่วง 2-5 บาท/กก.เท่านั้น เมล็ดพันธุ์แพง ไม่แน่ใจว่าเม็ดละ 5-7 บาท รึ
เปล่า
-มะละกอฮาวายหรือซันไรส์ เป็นมะละกอผลลูกเล็ก ขนาดผล 5-7 ขีด ตลาดค่อนข้างจำกัด ปลูกกันมากเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีตลาดที่ชัดเจน คนซื้อมีไม่มาก ซื้อป้อนตลาดห้างกับส่ง
ออก ขายตลาดทั่วไปยาก แต่ราคาซื้อ-ขายค่อนข้างสูง กก.ละ 20-25 บาท
-มะละกอขอนแก่น 80 เป็นมะละกอผลลูกเล็กที่พัฒนาพันธุ์ขึ้นมาโดยหวังมาแข่งกับฮาวายเพราะขอนแก่น 80 ลูกใหญ่กว่า เนื้อหนากว่า อร่อยกว่า แต่ด้วยความเป็นมะละกอลูกเล็กที่
ตลาดจำกัดมากๆอยู่แล้วเลยขายได้ไม่มาก ตอนนี้เริ่มหายไปจากตลาดและแทบไม่มีการพูดถึง
จะปลูกมะละกอพันธุ์ไหน ต้องหาแหล่งที่ขายให้ก่อนดีค่ะ อย่าลืมว่ามะละกอใช้เวลานาน 5-6 เดือนจึงเก็บขายดิบได้ และ 8-9 เดือนจึงเก็บสุกขายได้ หาที่ตลาดให้ชัดเจน มะละกอทุก
พันธุ์ป้อนโรงงานได้ทั้งหมดเพราะโรงงานซื้อทุกสายพันธ์ สุดท้ายก็ไปเจอกันที่โรงงานหากคุณหาที่ไปไม่ได้...ขอให้โชคดีค่ะ
เครื่องมือที่ควรติดรถยนต์ "แม่แรง" ใช้ทำอะไร ดีอย่างไร
แม่แรง คือ อุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ในการเพิ่มเเรงในการยกรถยนต์ เพื่อทำการซ่อมบำรุงส่วนต่างๆของรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นล้อรถยนต์ ช่วงล่างของรถยนต์ หรือใช้ในการตรวจดูตัว
ถังของรถยนต์ เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยทุ่นแรงในการทำงานเกี่ยวกับช่วงล่างของรถยนต์ เพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ตามปกติตัวถังและโครงรถยนต์ จะต้องทำการซ่อมเนื่อง
ด้วยอุบัติเหตุ ทำให้โครงตัวถังรถเกิดการโค้งงอ บิดตัว แตกหัก หรือฉีกขาด ซึ่งจะต้องทำการซ่อมบริเวณส่วนที่โค้งงอ บิดตัว ให้ตรงเหมือนเดิม โดยใช้อุปกรณ์ที่ให้กำลัง (Power
Tool) สำหรับดึง และดันซึ่งแล้วแต่ลักษณะของงานที่จะซ่อมนั้นๆ
แม่แรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน
1. แม่แรงระบบไฮดรอลิก
แม่แรงชนิดไฮดรอลิก ยอดเยี่ยมตรงที่ทำให้คนใช้เบาแรง และสามารถยกน้ำหนักได้เยอะแม้จะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีข้อบกพร่องอยู่ตรงที่โอริงของระบบไฮดรอลิกอาจจะรั่ว
หากนำไปใช้ยกน้ำหนักที่มากเกินกว่าจะรับไหว หรือเมื่อถูกนำไปเก็บไว้ในลักษณะที่น้ำมันไฮดรอลิกไหลรั่วออกมาได้ง่าย และมีขีดจำกัดที่หากอยากยกระดับให้สูงมากขึ้น จะต้องใช้
แม่แรงไฮดรอลิกที่มีขนาดใหญ่กว่าแม่แรงประเภทอื่น
2. แม่แรงระบบกลไก
แม่แรงกลไกนั้นมีจุดเด่น คือ ความคงทนสามารถพกพาได้ง่าย และการดูแลรักษาทำเพียงแค่หล่อลื่นกลไกเท่านั้นก็ใช้งานได้สบาย สามารถยกระดับของตัวรถได้สูงตามที่ความยาว
ของแกนถูกสร้างเอาไว้ แต่มีข้อบกพร่อง คือ เมื่อใช้งานต้องออกแรงมากสำหรับการยกน้ำหนัก และส่วนมากแม่แรงแบบกลไกจะมีขาเดียวทำให้ไม่ค่อยมั่นคงเกิดอันตรายง่ายเมื่อใช้
งานยกน้ำหนัก
วิธีเลือกซื้อแม่แรง กับความเหมาะเจาะในการใช้งาน
แม่แรงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานในการเดินทางทั่วไป หากว่ารถที่ท่านใช้อยู่มีที่ตั้งสำหรับการเก็บพอเพียง คือ แม่แรงแบบไฮดรอลิกประเภทที่เรียกกันว่า “แม่แรงตะเข้”
หรือแม่แรงชนิดไฮดรอลิกช่วยเบาแรงยก ที่มีฐานกว้างและมีล้อรถสำหรับลากเคลื่อนที่นั่นเอง เนื่องด้วยใช้งานง่าย เบาแรง และมีความปลอดภัยสูงที่สุด
ถ้าหากไม่มีแม่แรงประเภทดังกล่าวทุกท่านก็สามารถใช้แม่แรงที่มีติดมาประจำรถได้ แต่ต้องทำความเข้าใจวิธีการใช้จากคู่มือให้แม่นยำ รวมทั้งต้องดูจากคู่มือการใช้ให้แน่ใจในจุดที่
จะต้องใช้แม่แรงสอดเข้าไปเพื่อยกตัวรถด้วย เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับรถของท่านได้ แต่เหนืออื่นใดคือต้องมั่นอกมั่นใจว่าเมื่อท่านใช้แม่แรงยกรถของท่านแล้ว
รถจะต้องไม่ไหลเคลื่อนหรือแม่แรงหลุดจากจุดรองรับ จนทำให้เกิดความเสียหายหรือเกิดการบาดเจ็บขึ้นมาได้
วิธีการการใช้งานแม่แรงอย่างปลอดภัย
วิธีการขึ้นแม่แรงที่อย่างปลอดภัย คือ หากท่านต้องขึ้นแม่แรงที่ล้อหน้าด้านซ้าย ให้เข้าเกียร์เดินหน้าหรือเกียร์หนึ่งเอาไว้พร้อมทั้งดึงเบรกมือด้วย และให้เอาไม้หน้าสามหรือหน้ากว้าง
กว่านั้นไปค้ำจุนที่หลังของล้อหลังด้านขวา เป็นการป้องกันรถไหลเมื่อแม่แรงยกหน้ารถลอยขึ้น เช่นเดียวกันเมื่อต้องการขึ้นแม่แรงที่ล้อหลังด้านขวา ให้เข้าเกียร์ถอยหลังและดึงเบรก
มือเอาไว้ พร้อมทั้งเอาของไปหนุนที่ส่วนหน้าของล้อหน้าด้านซ้าย
ข้อควรจงระวังขณะใช้แม่แรง
สิ่งควรระวังก็คืออุปกรณ์ที่นำมาหนุนที่ล้อป้องกันรถไหล หรือนำมารองด้านใต้พื้นของแม่แรง เพื่อป้องกันการยุบตัวของแม่แรงนั้น ไม่ควรเป็นวัตถุที่แข็งแต่เปราะบาง แตกหักง่าย เช่น
อิฐบล็อก อิฐแดง หรือหินปูน เป็นต้น การใช้แม่แรงยกรถนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่หากจะใช้ให้ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ก็ต้องทำความเข้าใจหาความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เอาไว้เผื่อเวลา
คับขันด้วยครับ
ถังของรถยนต์ เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยทุ่นแรงในการทำงานเกี่ยวกับช่วงล่างของรถยนต์ เพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ตามปกติตัวถังและโครงรถยนต์ จะต้องทำการซ่อมเนื่อง
ด้วยอุบัติเหตุ ทำให้โครงตัวถังรถเกิดการโค้งงอ บิดตัว แตกหัก หรือฉีกขาด ซึ่งจะต้องทำการซ่อมบริเวณส่วนที่โค้งงอ บิดตัว ให้ตรงเหมือนเดิม โดยใช้อุปกรณ์ที่ให้กำลัง (Power
Tool) สำหรับดึง และดันซึ่งแล้วแต่ลักษณะของงานที่จะซ่อมนั้นๆ
แม่แรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน
1. แม่แรงระบบไฮดรอลิก
แม่แรงชนิดไฮดรอลิก ยอดเยี่ยมตรงที่ทำให้คนใช้เบาแรง และสามารถยกน้ำหนักได้เยอะแม้จะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีข้อบกพร่องอยู่ตรงที่โอริงของระบบไฮดรอลิกอาจจะรั่ว
หากนำไปใช้ยกน้ำหนักที่มากเกินกว่าจะรับไหว หรือเมื่อถูกนำไปเก็บไว้ในลักษณะที่น้ำมันไฮดรอลิกไหลรั่วออกมาได้ง่าย และมีขีดจำกัดที่หากอยากยกระดับให้สูงมากขึ้น จะต้องใช้
แม่แรงไฮดรอลิกที่มีขนาดใหญ่กว่าแม่แรงประเภทอื่น
2. แม่แรงระบบกลไก
แม่แรงกลไกนั้นมีจุดเด่น คือ ความคงทนสามารถพกพาได้ง่าย และการดูแลรักษาทำเพียงแค่หล่อลื่นกลไกเท่านั้นก็ใช้งานได้สบาย สามารถยกระดับของตัวรถได้สูงตามที่ความยาว
ของแกนถูกสร้างเอาไว้ แต่มีข้อบกพร่อง คือ เมื่อใช้งานต้องออกแรงมากสำหรับการยกน้ำหนัก และส่วนมากแม่แรงแบบกลไกจะมีขาเดียวทำให้ไม่ค่อยมั่นคงเกิดอันตรายง่ายเมื่อใช้
งานยกน้ำหนัก
วิธีเลือกซื้อแม่แรง กับความเหมาะเจาะในการใช้งาน
แม่แรงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานในการเดินทางทั่วไป หากว่ารถที่ท่านใช้อยู่มีที่ตั้งสำหรับการเก็บพอเพียง คือ แม่แรงแบบไฮดรอลิกประเภทที่เรียกกันว่า “แม่แรงตะเข้”
หรือแม่แรงชนิดไฮดรอลิกช่วยเบาแรงยก ที่มีฐานกว้างและมีล้อรถสำหรับลากเคลื่อนที่นั่นเอง เนื่องด้วยใช้งานง่าย เบาแรง และมีความปลอดภัยสูงที่สุด
ถ้าหากไม่มีแม่แรงประเภทดังกล่าวทุกท่านก็สามารถใช้แม่แรงที่มีติดมาประจำรถได้ แต่ต้องทำความเข้าใจวิธีการใช้จากคู่มือให้แม่นยำ รวมทั้งต้องดูจากคู่มือการใช้ให้แน่ใจในจุดที่
จะต้องใช้แม่แรงสอดเข้าไปเพื่อยกตัวรถด้วย เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับรถของท่านได้ แต่เหนืออื่นใดคือต้องมั่นอกมั่นใจว่าเมื่อท่านใช้แม่แรงยกรถของท่านแล้ว
รถจะต้องไม่ไหลเคลื่อนหรือแม่แรงหลุดจากจุดรองรับ จนทำให้เกิดความเสียหายหรือเกิดการบาดเจ็บขึ้นมาได้
วิธีการการใช้งานแม่แรงอย่างปลอดภัย
วิธีการขึ้นแม่แรงที่อย่างปลอดภัย คือ หากท่านต้องขึ้นแม่แรงที่ล้อหน้าด้านซ้าย ให้เข้าเกียร์เดินหน้าหรือเกียร์หนึ่งเอาไว้พร้อมทั้งดึงเบรกมือด้วย และให้เอาไม้หน้าสามหรือหน้ากว้าง
กว่านั้นไปค้ำจุนที่หลังของล้อหลังด้านขวา เป็นการป้องกันรถไหลเมื่อแม่แรงยกหน้ารถลอยขึ้น เช่นเดียวกันเมื่อต้องการขึ้นแม่แรงที่ล้อหลังด้านขวา ให้เข้าเกียร์ถอยหลังและดึงเบรก
มือเอาไว้ พร้อมทั้งเอาของไปหนุนที่ส่วนหน้าของล้อหน้าด้านซ้าย
ข้อควรจงระวังขณะใช้แม่แรง
สิ่งควรระวังก็คืออุปกรณ์ที่นำมาหนุนที่ล้อป้องกันรถไหล หรือนำมารองด้านใต้พื้นของแม่แรง เพื่อป้องกันการยุบตัวของแม่แรงนั้น ไม่ควรเป็นวัตถุที่แข็งแต่เปราะบาง แตกหักง่าย เช่น
อิฐบล็อก อิฐแดง หรือหินปูน เป็นต้น การใช้แม่แรงยกรถนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่หากจะใช้ให้ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ก็ต้องทำความเข้าใจหาความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เอาไว้เผื่อเวลา
คับขันด้วยครับ
วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558
การปลูกมะละกอพันธุ์แบบไหนดีจึงจะมีตลาดขาย
จริงๆไม่ได้คิดที่จะบอกเทคนิคเรื่องนี้เลย เพราะคาดไม่ถึงค่ะ แต่เมื่อวานมีคนเข้ามาถามในinboxให้ช่วยหาตลาดมะละกอแขกดำให้หน่อย อย่างเช่นผมปลูกมะละกอพันธุ์ครั่ง เรด
แคริเบี้ยนขายที่ไหนดี ทำให้คิดว่าเรามองข้ามเรื่องนี้ไปจริงๆ เพราะชีวิตอยู่แต่กับมะละกอฮอลแลนด์ เลยไม่ได้มองพันธุ์อื่น
- มะละกอฮอลแลนด์ คือพันธุ์ที่มีเสน่ห์และน่าลงทุนที่สุด เพราะเป็นพันธุ์มะละกอกินสุกที่นิยมที่สุดและใช้ปืนพ่นยา หรือ การพ่นยาน้อยที่สุด ตลาดกว้างขวาง แม่ค้ารับซื้อเยอะมากที่สุด
ส่วนที่ตกเกรดหรือเป็นโรคก็ยังวางขายเข้าโรงงานได้ ราคามะละกอจะยืนพื้นจากสวน 8-10 บาท/กก. ราคาขายส่งอยู่ที่ 15-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 20-35
บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย
ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงสูงกว่้าพันธุ์อื่นๆ มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะว่า
ดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ท่านใดที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอ
ได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับเงินก้อนโตได้เลย มีเงินเหลือเฟือไปซื้อ
เครื่องมือการเกษตรเยอะเลยคะ
-มะละกอแขกดำ เคยเป็นมะละกอกินสุกที่ครองตลาดในอดีต แต่วันนี้หมดสมัยของแขกดำในตลาดกินสุกไปแล้ว แขกดำจึงเป็นมะกอที่หาแหล่งขายไม่เจอ ไม่รู้จะอยู่ตลาดไหน กินสุกก็
ได้แต่ก็สู้ฮอลแลนด์ไม่ได้ ตลาดไทมีแผงมะละกอ 100 แผง แต่มีเพียง 2 แผงที่ขายแขกดำและปริมาณการขายก็ไม่มาก แต่ในตลาดกินดิบหรือส้มตำ แขกดำก็ไปได้แต่ก็ไม่โดดเด่น
เท่าแขกนวลที่มีคุณสมบัติดีกว่า
-มะละกอแขกนวล ถือป็นมะละกอกินดิบที่ครองตลาด เพราะเป็นมะละกอที่เนื้อกรอบ อร่อย แม่ค้าส้มตำชอบ อีกทั้งยังเป็นมะกอที่ติดดก ผลโตมากๆ มะละกอกินดิบมีข้อดีตรงที่เก็บเกี่ยว
เร็ว 5 เดือนก็เก็บขายได้แล้ว จากนั้นจะเก็บกันทุก 15-20 วัน (ครั้งหนึ่งก็ประมาณ 20-25 ตัน ในพื้นที่ปลูกประมาณ 10 ไร่) มะละกอดิบดูแลจัดการง่ายกว่ามะละกอสุกเยอะ ไม่ต้อง
หุ้มห่อผล ไม่ต้องระมัดระวังมากตอนเก็บ เก็บเสร็จแพ็คใส่ถุงพลาสติกถุงละ 10 กก.ใส่ขึ้นรถขายได้เลย แต่ราคาก็จะอยู่ที่ 4-5 บาท ตลอดทั้งปี ช่วงราคาถูกก็อยู่ที่ 2 บาทค่ะ แทบไม่คุ้ม
ค่าขนส่งเลยค่ะ
เดี๋ยวมาต่อคะ ติดตามในบทความต่อไปนะคะ...
แคริเบี้ยนขายที่ไหนดี ทำให้คิดว่าเรามองข้ามเรื่องนี้ไปจริงๆ เพราะชีวิตอยู่แต่กับมะละกอฮอลแลนด์ เลยไม่ได้มองพันธุ์อื่น
- มะละกอฮอลแลนด์ คือพันธุ์ที่มีเสน่ห์และน่าลงทุนที่สุด เพราะเป็นพันธุ์มะละกอกินสุกที่นิยมที่สุดและใช้ปืนพ่นยา หรือ การพ่นยาน้อยที่สุด ตลาดกว้างขวาง แม่ค้ารับซื้อเยอะมากที่สุด
ส่วนที่ตกเกรดหรือเป็นโรคก็ยังวางขายเข้าโรงงานได้ ราคามะละกอจะยืนพื้นจากสวน 8-10 บาท/กก. ราคาขายส่งอยู่ที่ 15-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 20-35
บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย
ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงสูงกว่้าพันธุ์อื่นๆ มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะว่า
ดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ท่านใดที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอ
ได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับเงินก้อนโตได้เลย มีเงินเหลือเฟือไปซื้อ
เครื่องมือการเกษตรเยอะเลยคะ
-มะละกอแขกดำ เคยเป็นมะละกอกินสุกที่ครองตลาดในอดีต แต่วันนี้หมดสมัยของแขกดำในตลาดกินสุกไปแล้ว แขกดำจึงเป็นมะกอที่หาแหล่งขายไม่เจอ ไม่รู้จะอยู่ตลาดไหน กินสุกก็
ได้แต่ก็สู้ฮอลแลนด์ไม่ได้ ตลาดไทมีแผงมะละกอ 100 แผง แต่มีเพียง 2 แผงที่ขายแขกดำและปริมาณการขายก็ไม่มาก แต่ในตลาดกินดิบหรือส้มตำ แขกดำก็ไปได้แต่ก็ไม่โดดเด่น
เท่าแขกนวลที่มีคุณสมบัติดีกว่า
-มะละกอแขกนวล ถือป็นมะละกอกินดิบที่ครองตลาด เพราะเป็นมะละกอที่เนื้อกรอบ อร่อย แม่ค้าส้มตำชอบ อีกทั้งยังเป็นมะกอที่ติดดก ผลโตมากๆ มะละกอกินดิบมีข้อดีตรงที่เก็บเกี่ยว
เร็ว 5 เดือนก็เก็บขายได้แล้ว จากนั้นจะเก็บกันทุก 15-20 วัน (ครั้งหนึ่งก็ประมาณ 20-25 ตัน ในพื้นที่ปลูกประมาณ 10 ไร่) มะละกอดิบดูแลจัดการง่ายกว่ามะละกอสุกเยอะ ไม่ต้อง
หุ้มห่อผล ไม่ต้องระมัดระวังมากตอนเก็บ เก็บเสร็จแพ็คใส่ถุงพลาสติกถุงละ 10 กก.ใส่ขึ้นรถขายได้เลย แต่ราคาก็จะอยู่ที่ 4-5 บาท ตลอดทั้งปี ช่วงราคาถูกก็อยู่ที่ 2 บาทค่ะ แทบไม่คุ้ม
ค่าขนส่งเลยค่ะ
เดี๋ยวมาต่อคะ ติดตามในบทความต่อไปนะคะ...
ปั๊มน้ำประเภทต่างๆ และแนวทางเลือกซื้อปั๊มน้ำ ให้เหมาะกับชนิดงาน
"ปั๊มน้ำ" เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการขายกันมานาน และมีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของผู้ซื้อ
ปั๊มน้ำ ส่วนมากมีอยู่ 5 หมวด ได้แก่ ปั๊มน้ำอัตโนมัติ, ปั๊มน้ำกึ่งอัตโนมัติ, ปั๊มหอยโข่ง ปั๊มน้ำบาดาล และปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันออกไป
ปั๊มน้ำอัตโนมัติ เหมาะสำหรับการใช้ภายในบ้าน คือ เมื่อมีการเปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำจะทำงาน พอเลิกใช้ปั๊มน้ำก็หยุดทำงาน ขนาดของปั๊มน้ำอัตโนมัติมีตั้งแต่ 100-400 วัตต์ สำหรับ
100–150 วัตต์ เหมาะกับบ้านที่มีผู้อาศัย 2-3 คน และ ขนาด 400 - 700 วัตต์ สำหรับครัวเรือนใหญ่
ปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ เหมาะสำหรับการดึงน้ำ เช่น ดึงน้ำท่วมบ้าน ดึงน้ำจากบ่อ ปั๊มจุ่มจะมีให้เลือกหลายขนาด ถ้าประสงค์ให้ดึงน้ำเร็วต้องใช้ตัวที่วัตต์สูง เช่น 200 -250 วัตต์ แต่ถ้าไม่
ประสงค์ดึงน้ำมากๆ ใช้วัตต์น้อยๆ ก็จะประหยัดได้ด้วย ในการใช้งานติดต่อจะใช้ได้แค่ 7 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนั้นปั๊มน้ำจะร้อนจัดทำให้มอเตอร์ตัดและใบพัดล็อค เราต้องถอดใบพัดออก
มาหมุนกลับเข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้ตามปกติ
ปั๊มหอยโข่ง เหมาะสำหรับกับการดึงน้ำเก็บใส่ถัง เหมือนที่ใช้ในการเกษตรคือส่งน้ำไปไกลๆ หรือดึงน้ำขึ้นไปบนอาคารสูงๆ เนื่องจากปั๊มหอยโข่งจะมีแรงม้าสูง มี 1 แรงม้า 2 แรงม้า
แต่ไม่เป็นระบบอัตโนมัติ ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องนานๆ
ปั๊มกึ่งอัตโนมัติ จะเหมือนๆ กับปั๊มอัตโนมัติ แต่เราต้องเปิด-ปิดสวิทช์ หรือเสียบปลั๊ก-ถอดปลั๊กใช้งานเอง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยม ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมแบบอัตโนมัติไปเลย
ปั๊มน้ำบาดาล เป็นปั๊มน้ำที่ดูดมาใช้ข้างในครัวเรือนหรือใช้ในการเกษตรกรรม
การเลือกปั๊มน้ำให้เหมาะสมกับงานจะช่วยประหยัดเงิน
การเลือกใช้ปั๊มน้ำนั้น ถ้าใช้ภายในบ้านเราต้องดูจากจำนวนผู้อยู่อาศัยว่าอยู่กันกี่คน เช่น ทาวเฮาส์ 2 ชั้น จะมีแค่ 2-3 ห้องน้ำ เลือกใช้ปั๊มขนาด 100-150 วัตต์ก็เพียงพอ หรือถ้าไม่มี
เครื่องทำน้ำอุ่น เลือกใช้แค่ 100 วัตต์ เราก็สามารถเปิดน้ำพร้อมกันได้ 2-3 จุด แต่ถ้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ควรเพิ่มเป็น 150 วัตต์ เพราะว่าจะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำอุ่นหรือเมื่อเราเปิดก๊อก
น้ำหลายจุดในเวลาเดียวกัน แล้วถ้าเป็นลูกค้าบ้านเดี่ยวอยากแนะนำให้ใช้ปั๊มขนาด 200–250 วัตต์ เพราะจะเปิดพร้อมกันได้ถึง 5-6 จุด หรือถ้าติดเครื่องทำน้ำอุ่นถึง 3 ห้องน้ำ
ขอชี้ช่องทางให้ใช้แบบ 250 วัตต์ เพราะจะดีตรงที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย
อีกอย่างที่ช่วยให้ประหยัดไฟคือการเลือกใช้ฝักบัว ฝักบัวที่น้ำออกมาเป็นฝอยจะช่วยประหยัดน้ำ แต่ถ้าเป็นฝักบัวแบบที่เปิดแล้วน้ำออกมาเป็นสายอย่างนี้จะสิ้นเปลืองน้ำกว่า ไม่
ประหยัดน้ำเพราะน้ำจะไหลออกมาเร็วเกินไป และกินไฟเพิ่มมากขึ้นเพราะมอเตอร์ปั๊มน้ำจะทำงานติดต่อกันไม่ตัด เพราะฉะนั้นการที่เราเลือกฝักบัวหรือสายฉีดชำระที่มีความละเอียด
เวลาน้ำออกมา มอเตอร์จะไม่ทำงานหนักเพราะตัดได้บ่อยไม่ทำงานสม่ำเสมอ แบบนี้จะดีในการเลือกใช้
การติดตั้งปั๊มน้ำอย่างถูกวิธีการช่วยประหยัดพลังงาน
ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ไม่แนะนำให้ติดตั้งแบบดึงตรง (by pass) แนะนำให้ต่อกับแท็งก์น้ำ (ติดตั้งแท็งก์น้ำเพิ่ม) แล้วให้ปั๊มดึงน้ำจากแท็งก์เข้าบ้านนี้จะช่วยประหยัดไฟกว่า
เป็นพิเศษ อีกอย่างคือการติดตั้งแท็งก์น้ำจะช่วยให้น้ำใช้หรือน้ำฝักบัวของเราไม่มีตะกอน เพราะว่าเวลาที่น้ำเข้าแท็งก์ตัวตะกอนจะตกลงก้นแท็งก์ก่อน เวลาใช้ปั๊มดึงก็จะได้น้ำสะอาด
ออกมา ต่อนี้ไปก็ช่วยประหยัดน้ำ-ประหยัดไฟได้เยอะเลย...
ปั๊มน้ำ ส่วนมากมีอยู่ 5 หมวด ได้แก่ ปั๊มน้ำอัตโนมัติ, ปั๊มน้ำกึ่งอัตโนมัติ, ปั๊มหอยโข่ง ปั๊มน้ำบาดาล และปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันออกไป
ปั๊มน้ำอัตโนมัติ เหมาะสำหรับการใช้ภายในบ้าน คือ เมื่อมีการเปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำจะทำงาน พอเลิกใช้ปั๊มน้ำก็หยุดทำงาน ขนาดของปั๊มน้ำอัตโนมัติมีตั้งแต่ 100-400 วัตต์ สำหรับ
100–150 วัตต์ เหมาะกับบ้านที่มีผู้อาศัย 2-3 คน และ ขนาด 400 - 700 วัตต์ สำหรับครัวเรือนใหญ่
ปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ เหมาะสำหรับการดึงน้ำ เช่น ดึงน้ำท่วมบ้าน ดึงน้ำจากบ่อ ปั๊มจุ่มจะมีให้เลือกหลายขนาด ถ้าประสงค์ให้ดึงน้ำเร็วต้องใช้ตัวที่วัตต์สูง เช่น 200 -250 วัตต์ แต่ถ้าไม่
ประสงค์ดึงน้ำมากๆ ใช้วัตต์น้อยๆ ก็จะประหยัดได้ด้วย ในการใช้งานติดต่อจะใช้ได้แค่ 7 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนั้นปั๊มน้ำจะร้อนจัดทำให้มอเตอร์ตัดและใบพัดล็อค เราต้องถอดใบพัดออก
มาหมุนกลับเข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้ตามปกติ
ปั๊มหอยโข่ง เหมาะสำหรับกับการดึงน้ำเก็บใส่ถัง เหมือนที่ใช้ในการเกษตรคือส่งน้ำไปไกลๆ หรือดึงน้ำขึ้นไปบนอาคารสูงๆ เนื่องจากปั๊มหอยโข่งจะมีแรงม้าสูง มี 1 แรงม้า 2 แรงม้า
แต่ไม่เป็นระบบอัตโนมัติ ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องนานๆ
ปั๊มกึ่งอัตโนมัติ จะเหมือนๆ กับปั๊มอัตโนมัติ แต่เราต้องเปิด-ปิดสวิทช์ หรือเสียบปลั๊ก-ถอดปลั๊กใช้งานเอง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยม ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมแบบอัตโนมัติไปเลย
ปั๊มน้ำบาดาล เป็นปั๊มน้ำที่ดูดมาใช้ข้างในครัวเรือนหรือใช้ในการเกษตรกรรม
การเลือกปั๊มน้ำให้เหมาะสมกับงานจะช่วยประหยัดเงิน
การเลือกใช้ปั๊มน้ำนั้น ถ้าใช้ภายในบ้านเราต้องดูจากจำนวนผู้อยู่อาศัยว่าอยู่กันกี่คน เช่น ทาวเฮาส์ 2 ชั้น จะมีแค่ 2-3 ห้องน้ำ เลือกใช้ปั๊มขนาด 100-150 วัตต์ก็เพียงพอ หรือถ้าไม่มี
เครื่องทำน้ำอุ่น เลือกใช้แค่ 100 วัตต์ เราก็สามารถเปิดน้ำพร้อมกันได้ 2-3 จุด แต่ถ้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ควรเพิ่มเป็น 150 วัตต์ เพราะว่าจะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำอุ่นหรือเมื่อเราเปิดก๊อก
น้ำหลายจุดในเวลาเดียวกัน แล้วถ้าเป็นลูกค้าบ้านเดี่ยวอยากแนะนำให้ใช้ปั๊มขนาด 200–250 วัตต์ เพราะจะเปิดพร้อมกันได้ถึง 5-6 จุด หรือถ้าติดเครื่องทำน้ำอุ่นถึง 3 ห้องน้ำ
ขอชี้ช่องทางให้ใช้แบบ 250 วัตต์ เพราะจะดีตรงที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย
อีกอย่างที่ช่วยให้ประหยัดไฟคือการเลือกใช้ฝักบัว ฝักบัวที่น้ำออกมาเป็นฝอยจะช่วยประหยัดน้ำ แต่ถ้าเป็นฝักบัวแบบที่เปิดแล้วน้ำออกมาเป็นสายอย่างนี้จะสิ้นเปลืองน้ำกว่า ไม่
ประหยัดน้ำเพราะน้ำจะไหลออกมาเร็วเกินไป และกินไฟเพิ่มมากขึ้นเพราะมอเตอร์ปั๊มน้ำจะทำงานติดต่อกันไม่ตัด เพราะฉะนั้นการที่เราเลือกฝักบัวหรือสายฉีดชำระที่มีความละเอียด
เวลาน้ำออกมา มอเตอร์จะไม่ทำงานหนักเพราะตัดได้บ่อยไม่ทำงานสม่ำเสมอ แบบนี้จะดีในการเลือกใช้
การติดตั้งปั๊มน้ำอย่างถูกวิธีการช่วยประหยัดพลังงาน
ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ไม่แนะนำให้ติดตั้งแบบดึงตรง (by pass) แนะนำให้ต่อกับแท็งก์น้ำ (ติดตั้งแท็งก์น้ำเพิ่ม) แล้วให้ปั๊มดึงน้ำจากแท็งก์เข้าบ้านนี้จะช่วยประหยัดไฟกว่า
เป็นพิเศษ อีกอย่างคือการติดตั้งแท็งก์น้ำจะช่วยให้น้ำใช้หรือน้ำฝักบัวของเราไม่มีตะกอน เพราะว่าเวลาที่น้ำเข้าแท็งก์ตัวตะกอนจะตกลงก้นแท็งก์ก่อน เวลาใช้ปั๊มดึงก็จะได้น้ำสะอาด
ออกมา ต่อนี้ไปก็ช่วยประหยัดน้ำ-ประหยัดไฟได้เยอะเลย...
วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558
วิธีเลือกใช้ "แม่แรง" ใช้ทำอะไร ดีอย่างไร
แม่แรง คือ วัสดุอุปกรณ์ประเภทหนึ่งที่มีหน้าที่ในการเพิ่มเเรงในการยกรถยนต์ เพื่อทำการซ่อมแซมบำรุงส่วนต่างๆของรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นล้อรถยนต์ ช่วงล่างของรถยนต์ หรือใช้ในการตรวจตัวถังของรถยนต์ เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยทุ่นแรงในการทำงานเกี่ยวกับช่วงล่างของรถยนต์ เพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ตามปกติตัวถังและโครงรถยนต์ จะต้องทำการซ่อมเนื่องด้วยอุบัติเหตุ ทำให้โครงตัวถังรถเกิดการโค้งงอ บิดตัว แตกหัก หรือฉีกขาด ซึ่งจะต้องทำการซ่อมบริเวณส่วนที่โค้งงอ บิดตัว ให้ตรงเหมือนเดิม โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ให้กำลัง (Power Tool) สำหรับดึง และดันซึ่งแล้วแต่ลักษณะของงานที่จะซ่อมนั้นๆ
แม่แรงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน
1. แม่แรงระบบไฮดรอลิก
แม่แรงชนิดไฮดรอลิก เยี่ยมยอดตรงที่ทำให้คนใช้เบาแรง และสามารถยกน้ำหนักได้มากแม้จะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีข้อด้อยอยู่ตรงที่โอริงของระบบไฮดรอลิกอาจจะรั่วไหล หากนำไปใช้ยกน้ำหนักที่มากเกินกว่าจะรับไหว หรือเมื่อถูกนำไปเก็บไว้ในลักษณะที่น้ำมันไฮดรอลิกไหลรั่วออกมาได้ง่าย และมีความจำกัดที่หากอยากยกระดับให้สูงมากขึ้น จะต้องใช้แม่แรงไฮดรอลิกที่มีขนาดใหญ่กว่าแม่แรงชนิดอื่น
2. แม่แรงระบบกลไก
แม่แรงชนิดกลไกนั้นมีจุดเด่น คือ ความทนทานสามารถพกพาได้ง่าย พร้อมทั้งการดูแลรักษาทำเพียงแค่หล่อลื่นกลไกเท่านั้นก็ใช้งานได้ราบรื่น สามารถยกระดับของตัวรถได้สูงตามที่ความยาวของแกนถูกสร้างเอาไว้ แต่มีข้อบกพร่อง คือ เมื่อใช้งานต้องออกแรงมากสำหรับการยกน้ำหนัก และส่วนมากแม่แรงแบบกลไกจะมีขาเดียวทำให้ไม่ค่อยแน่นเกิดอันตรายง่ายเมื่อใช้งานยกน้ำหนัก
วิธีการเลือกซื้อแม่แรง กับความพอเหมาะในการใช้งาน
แม่แรงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานในการจากทั่วไป หากว่ารถที่ท่านใช้อยู่มีเนื้อที่สำหรับการเก็บพอ คือ แม่แรงแบบไฮดรอลิกประเภทที่เรียกกันว่า “แม่แรงตะเข้” หรือแม่แรงชนิดไฮดรอลิกช่วยผ่อนแรงยก ที่มีฐานกว้างและมีล้อรถสำหรับลากเคลื่อนที่นั่นเอง เพราะว่าใช้งานง่าย เบาแรง และมีความปลอดภัยสูงที่สุด
แม้ไม่มีแม่แรงประเภทดังกล่าวทุกท่านก็สามารถใช้แม่แรงที่มีติดมาประจำรถได้ แต่ต้องศึกษาวิธีการใช้จากคู่มือให้แม่นยำ รวมทั้งต้องดูจากหนังสือให้แน่ใจในจุดที่จะต้องใช้แม่แรงสอดเข้าไปเพื่อยกตัวรถด้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับรถของคุณได้ แต่เหนืออื่นใดคือต้องมั่นอกมั่นใจว่าเมื่อท่านใช้แม่แรงยกรถของท่านแล้ว รถจะต้องไม่ไหลเคลื่อนหรือแม่แรงหลุดพ้นจากจุดรองรับ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือเกิดการเจ็บขึ้นมาได้
วิธีการการใช้งานแม่แรงอย่างปลอดภัย
วิธีการขึ้นแม่แรงที่ควรระวัง คือ หากคุณต้องขึ้นแม่แรงที่ล้อหน้าด้านซ้าย ให้เข้าเกียร์เดินหน้าหรือเกียร์หนึ่งเอาไว้พร้อมทั้งดึงเบรกมือด้วย และให้เอาไม้หน้าสามหรือหน้ากว้างกว่านั้นไปค้ำจุนที่หลังของล้อหลังด้านขวา เป็นการป้องกันรถไหลเมื่อแม่แรงยกหน้ารถลอยขึ้น เช่นเดียวกันเมื่อต้องการขึ้นแม่แรงที่ล้อหลังด้านขวา ให้เข้าเกียร์ถอยหลังและดึงเบรกมือเอาไว้ พร้อมทั้งเอาของไปหนุนที่ข้างหน้าของล้อหน้าด้านซ้าย
ข้อควรระวังขณะใช้แม่แรง
สิ่งควรระวังก็คือวัตถุที่นำมาหนุนที่ล้อป้องกันรถไหล หรือนำมารองด้านใต้พื้นของแม่แรง เพื่อป้องกันการยุบตัวของแม่แรงนั้น ไม่ควรเป็นสิ่งของที่แข็งแต่บอบบาง แตกหักง่าย เช่น อิฐบล็อก อิฐแดง หรือหินปูน เป็นต้น การใช้แม่แรงยกรถนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่หากจะใช้ให้ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ก็ต้องเรียนรู้หาความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เอาไว้เผื่อยามฉุกเฉินด้วยครับ
แม่แรงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน
1. แม่แรงระบบไฮดรอลิก
แม่แรงชนิดไฮดรอลิก เยี่ยมยอดตรงที่ทำให้คนใช้เบาแรง และสามารถยกน้ำหนักได้มากแม้จะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีข้อด้อยอยู่ตรงที่โอริงของระบบไฮดรอลิกอาจจะรั่วไหล หากนำไปใช้ยกน้ำหนักที่มากเกินกว่าจะรับไหว หรือเมื่อถูกนำไปเก็บไว้ในลักษณะที่น้ำมันไฮดรอลิกไหลรั่วออกมาได้ง่าย และมีความจำกัดที่หากอยากยกระดับให้สูงมากขึ้น จะต้องใช้แม่แรงไฮดรอลิกที่มีขนาดใหญ่กว่าแม่แรงชนิดอื่น
2. แม่แรงระบบกลไก
แม่แรงชนิดกลไกนั้นมีจุดเด่น คือ ความทนทานสามารถพกพาได้ง่าย พร้อมทั้งการดูแลรักษาทำเพียงแค่หล่อลื่นกลไกเท่านั้นก็ใช้งานได้ราบรื่น สามารถยกระดับของตัวรถได้สูงตามที่ความยาวของแกนถูกสร้างเอาไว้ แต่มีข้อบกพร่อง คือ เมื่อใช้งานต้องออกแรงมากสำหรับการยกน้ำหนัก และส่วนมากแม่แรงแบบกลไกจะมีขาเดียวทำให้ไม่ค่อยแน่นเกิดอันตรายง่ายเมื่อใช้งานยกน้ำหนัก
วิธีการเลือกซื้อแม่แรง กับความพอเหมาะในการใช้งาน
แม่แรงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานในการจากทั่วไป หากว่ารถที่ท่านใช้อยู่มีเนื้อที่สำหรับการเก็บพอ คือ แม่แรงแบบไฮดรอลิกประเภทที่เรียกกันว่า “แม่แรงตะเข้” หรือแม่แรงชนิดไฮดรอลิกช่วยผ่อนแรงยก ที่มีฐานกว้างและมีล้อรถสำหรับลากเคลื่อนที่นั่นเอง เพราะว่าใช้งานง่าย เบาแรง และมีความปลอดภัยสูงที่สุด
แม้ไม่มีแม่แรงประเภทดังกล่าวทุกท่านก็สามารถใช้แม่แรงที่มีติดมาประจำรถได้ แต่ต้องศึกษาวิธีการใช้จากคู่มือให้แม่นยำ รวมทั้งต้องดูจากหนังสือให้แน่ใจในจุดที่จะต้องใช้แม่แรงสอดเข้าไปเพื่อยกตัวรถด้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับรถของคุณได้ แต่เหนืออื่นใดคือต้องมั่นอกมั่นใจว่าเมื่อท่านใช้แม่แรงยกรถของท่านแล้ว รถจะต้องไม่ไหลเคลื่อนหรือแม่แรงหลุดพ้นจากจุดรองรับ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือเกิดการเจ็บขึ้นมาได้
วิธีการการใช้งานแม่แรงอย่างปลอดภัย
วิธีการขึ้นแม่แรงที่ควรระวัง คือ หากคุณต้องขึ้นแม่แรงที่ล้อหน้าด้านซ้าย ให้เข้าเกียร์เดินหน้าหรือเกียร์หนึ่งเอาไว้พร้อมทั้งดึงเบรกมือด้วย และให้เอาไม้หน้าสามหรือหน้ากว้างกว่านั้นไปค้ำจุนที่หลังของล้อหลังด้านขวา เป็นการป้องกันรถไหลเมื่อแม่แรงยกหน้ารถลอยขึ้น เช่นเดียวกันเมื่อต้องการขึ้นแม่แรงที่ล้อหลังด้านขวา ให้เข้าเกียร์ถอยหลังและดึงเบรกมือเอาไว้ พร้อมทั้งเอาของไปหนุนที่ข้างหน้าของล้อหน้าด้านซ้าย
ข้อควรระวังขณะใช้แม่แรง
สิ่งควรระวังก็คือวัตถุที่นำมาหนุนที่ล้อป้องกันรถไหล หรือนำมารองด้านใต้พื้นของแม่แรง เพื่อป้องกันการยุบตัวของแม่แรงนั้น ไม่ควรเป็นสิ่งของที่แข็งแต่บอบบาง แตกหักง่าย เช่น อิฐบล็อก อิฐแดง หรือหินปูน เป็นต้น การใช้แม่แรงยกรถนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่หากจะใช้ให้ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ก็ต้องเรียนรู้หาความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เอาไว้เผื่อยามฉุกเฉินด้วยครับ
วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558
ปั๊มน้ำประเภทต่างๆ และแนวทางเลือกซื้อปั๊มน้ำ ให้พอเหมาะกับประเภทงาน
ปั๊มน้ำประเภทต่างๆ และแนวทางเลือกซื้อปั๊มน้ำ ให้พอเหมาะกับประเภทงาน
"ปั๊มน้ำ" เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการจำหน่ายกันมานาน และมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของลูกค้า
ปั๊มน้ำ โดยมากมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่ ปั๊มน้ำอัตโนมัติ, ปั๊มน้ำกึ่งอัตโนมัติ, ปั๊มหอยโข่ง ปั๊มน้ำบาดาล และปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันออกไป
ปั๊มน้ำอัตโนมัติ ควรสำหรับการใช้ภายในบ้าน คือ เมื่อมีการหมุนเปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำจะทำงาน พอเลิกใช้ปั๊มน้ำก็หยุดทำงาน ขนาดของปั๊มน้ำอัตโนมัติมีตั้งแต่ 100-400 วัตต์ สำหรับ 100–150 วัตต์ เหมาะกับบ้านที่มีผู้อาศัย 2-3 คน และ ขนาด 400 - 700 วัตต์ สำหรับตระกูลใหญ่
ปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ เหมาะสำหรับการดึงน้ำ เช่น ดึงน้ำท่วมบ้าน ดึงน้ำจากบ่อ ปั๊มจุ่มจะมีให้เลือกหลายขนาด ถ้าพึงประสงค์ให้ดึงน้ำเร็วต้องใช้ตัวที่วัตต์สูง เช่น 200 -250 วัตต์ แต่ถ้าไม่อยากได้ดึงน้ำมากๆ ใช้วัตต์น้อยๆ ก็จะประหยัดได้ด้วย ในการใช้งานติดต่อจะใช้ได้แค่ 7 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนั้นปั๊มน้ำจะร้อนจัดทำให้มอเตอร์ตัดและใบพัดล็อค เราต้องถอดใบพัดออกมาหมุนกลับเข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้เหมือนเดิม
ปั๊มหอยโข่ง เหมาะสำหรับกับการดึงน้ำเก็บใส่ถัง เหมือนที่ใช้ในการเกษตรคือส่งน้ำไปไกลๆ หรือดึงน้ำขึ้นไปบนอาคารสูงๆ เพราะปั๊มหอยโข่งจะมีแรงม้าสูง มี 1 แรงม้า 2 แรงม้า แต่ไม่เป็นระบบอัตโนมัติ ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานติดต่อกันนานๆ
ปั๊มกึ่งอัตโนมัติ จะคล้ายๆ กับปั๊มอัตโนมัติ แต่เราต้องเปิด-ปิดสวิทช์ หรือเสียบปลั๊ก-ถอดปลั๊กใช้งานเอง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยม ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมแบบอัตโนมัติไปเลย
ปั๊มน้ำบาดาล เป็นปั๊มน้ำที่ดูดมาใช้ข้างในครัวเรือนหรือใช้ในการเกษตรกรรม
การเลือกปั๊มน้ำให้เหมาะสมกับงานจะช่วยประหยัดเงิน
การเลือกใช้ปั๊มน้ำนั้น ถ้าใช้ภายในบ้านเราต้องดูจากจำนวนผู้อยู่อาศัยว่าอยู่กันกี่คน เช่น ทาวเฮาส์ 2 ชั้น จะมีแค่ 2-3 ห้องน้ำ เลือกใช้ปั๊มขนาด 100-150 วัตต์ก็เพียงพอ หรือถ้าไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น เลือกใช้แค่ 100 วัตต์ เราก็สามารถเปิดน้ำพร้อมกันได้ 2-3 จุด แต่ถ้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ควรเพิ่มเป็น 150 วัตต์ ก็เพราะว่าจะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำอุ่นหรือเมื่อเราเปิดก๊อกน้ำหลายจุดโดยพร้อมเพรียง แล้วถ้าเป็นลูกค้าบ้านเดี่ยวอยากแนะนำให้ใช้ปั๊มขนาด 200–250 วัตต์ เพราะจะเปิดพร้อมกันได้ถึง 5-6 จุด หรือถ้าติดเครื่องทำน้ำอุ่นถึง 3 ห้องน้ำ ขอแนะนำให้ใช้แบบ 250 วัตต์ เพราะจะดีตรงที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้เช่นกัน
อีกอย่างที่ช่วยให้ประหยัดไฟคือการเลือกใช้ฝักบัว ฝักบัวที่น้ำออกมาเป็นฝอยจะช่วยประหยัดน้ำ แต่ถ้าเป็นฝักบัวแบบที่เปิดแล้วน้ำออกมาเป็นสายอย่างนี้จะเปลืองน้ำกว่า ไม่ประหยัดน้ำเพราะน้ำจะไหลออกมาเร็วเกินพอดี และกินไฟมากขึ้นเพราะมอเตอร์ปั๊มน้ำจะทำงานต่อเนื่องไม่ตัด ดังนั้นการที่เราเลือกฝักบัวหรือสายฉีดชำระที่มีความละเอียดเวลาน้ำออกมา มอเตอร์จะไม่ทำงานหนักเพราะตัดได้บ่อยไม่ทำงานสม่ำเสมอ แบบนี้จะดีในการเลือกใช้
การติดตั้งปั๊มน้ำอย่างถูกแบบช่วยประหยัดพลังงาน
ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ไม่แนะนำให้ติดตั้งแบบดึงตรง (by pass) แนะนำให้ต่อกับแท็งก์น้ำ (ติดตั้งแท็งก์น้ำเพิ่ม) แล้วให้ปั๊มดึงน้ำจากแท็งก์เข้าบ้านนี้จะช่วยประหยัดไฟกว่าเป็นพิเศษ อีกอย่างคือการติดตั้งแท็งก์น้ำจะช่วยให้น้ำใช้หรือน้ำฝักบัวของเราไม่มีตะกอน เนื่องจากเวลาที่น้ำเข้าแท็งก์ตัวตะกอนจะตกลงก้นแท็งก์ก่อน เวลาใช้ปั๊มดึงก็จะได้น้ำสะอาดออกมา ต่อนี้ไปก็ช่วยประหยัดน้ำ-ประหยัดไฟได้เยอะเลย...
"ปั๊มน้ำ" เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการจำหน่ายกันมานาน และมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของลูกค้า
ปั๊มน้ำ โดยมากมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่ ปั๊มน้ำอัตโนมัติ, ปั๊มน้ำกึ่งอัตโนมัติ, ปั๊มหอยโข่ง ปั๊มน้ำบาดาล และปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันออกไป
ปั๊มน้ำอัตโนมัติ ควรสำหรับการใช้ภายในบ้าน คือ เมื่อมีการหมุนเปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำจะทำงาน พอเลิกใช้ปั๊มน้ำก็หยุดทำงาน ขนาดของปั๊มน้ำอัตโนมัติมีตั้งแต่ 100-400 วัตต์ สำหรับ 100–150 วัตต์ เหมาะกับบ้านที่มีผู้อาศัย 2-3 คน และ ขนาด 400 - 700 วัตต์ สำหรับตระกูลใหญ่
ปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ เหมาะสำหรับการดึงน้ำ เช่น ดึงน้ำท่วมบ้าน ดึงน้ำจากบ่อ ปั๊มจุ่มจะมีให้เลือกหลายขนาด ถ้าพึงประสงค์ให้ดึงน้ำเร็วต้องใช้ตัวที่วัตต์สูง เช่น 200 -250 วัตต์ แต่ถ้าไม่อยากได้ดึงน้ำมากๆ ใช้วัตต์น้อยๆ ก็จะประหยัดได้ด้วย ในการใช้งานติดต่อจะใช้ได้แค่ 7 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนั้นปั๊มน้ำจะร้อนจัดทำให้มอเตอร์ตัดและใบพัดล็อค เราต้องถอดใบพัดออกมาหมุนกลับเข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้เหมือนเดิม
ปั๊มหอยโข่ง เหมาะสำหรับกับการดึงน้ำเก็บใส่ถัง เหมือนที่ใช้ในการเกษตรคือส่งน้ำไปไกลๆ หรือดึงน้ำขึ้นไปบนอาคารสูงๆ เพราะปั๊มหอยโข่งจะมีแรงม้าสูง มี 1 แรงม้า 2 แรงม้า แต่ไม่เป็นระบบอัตโนมัติ ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานติดต่อกันนานๆ
ปั๊มกึ่งอัตโนมัติ จะคล้ายๆ กับปั๊มอัตโนมัติ แต่เราต้องเปิด-ปิดสวิทช์ หรือเสียบปลั๊ก-ถอดปลั๊กใช้งานเอง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยม ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมแบบอัตโนมัติไปเลย
ปั๊มน้ำบาดาล เป็นปั๊มน้ำที่ดูดมาใช้ข้างในครัวเรือนหรือใช้ในการเกษตรกรรม
การเลือกปั๊มน้ำให้เหมาะสมกับงานจะช่วยประหยัดเงิน
การเลือกใช้ปั๊มน้ำนั้น ถ้าใช้ภายในบ้านเราต้องดูจากจำนวนผู้อยู่อาศัยว่าอยู่กันกี่คน เช่น ทาวเฮาส์ 2 ชั้น จะมีแค่ 2-3 ห้องน้ำ เลือกใช้ปั๊มขนาด 100-150 วัตต์ก็เพียงพอ หรือถ้าไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น เลือกใช้แค่ 100 วัตต์ เราก็สามารถเปิดน้ำพร้อมกันได้ 2-3 จุด แต่ถ้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ควรเพิ่มเป็น 150 วัตต์ ก็เพราะว่าจะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำอุ่นหรือเมื่อเราเปิดก๊อกน้ำหลายจุดโดยพร้อมเพรียง แล้วถ้าเป็นลูกค้าบ้านเดี่ยวอยากแนะนำให้ใช้ปั๊มขนาด 200–250 วัตต์ เพราะจะเปิดพร้อมกันได้ถึง 5-6 จุด หรือถ้าติดเครื่องทำน้ำอุ่นถึง 3 ห้องน้ำ ขอแนะนำให้ใช้แบบ 250 วัตต์ เพราะจะดีตรงที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้เช่นกัน
อีกอย่างที่ช่วยให้ประหยัดไฟคือการเลือกใช้ฝักบัว ฝักบัวที่น้ำออกมาเป็นฝอยจะช่วยประหยัดน้ำ แต่ถ้าเป็นฝักบัวแบบที่เปิดแล้วน้ำออกมาเป็นสายอย่างนี้จะเปลืองน้ำกว่า ไม่ประหยัดน้ำเพราะน้ำจะไหลออกมาเร็วเกินพอดี และกินไฟมากขึ้นเพราะมอเตอร์ปั๊มน้ำจะทำงานต่อเนื่องไม่ตัด ดังนั้นการที่เราเลือกฝักบัวหรือสายฉีดชำระที่มีความละเอียดเวลาน้ำออกมา มอเตอร์จะไม่ทำงานหนักเพราะตัดได้บ่อยไม่ทำงานสม่ำเสมอ แบบนี้จะดีในการเลือกใช้
การติดตั้งปั๊มน้ำอย่างถูกแบบช่วยประหยัดพลังงาน
ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ไม่แนะนำให้ติดตั้งแบบดึงตรง (by pass) แนะนำให้ต่อกับแท็งก์น้ำ (ติดตั้งแท็งก์น้ำเพิ่ม) แล้วให้ปั๊มดึงน้ำจากแท็งก์เข้าบ้านนี้จะช่วยประหยัดไฟกว่าเป็นพิเศษ อีกอย่างคือการติดตั้งแท็งก์น้ำจะช่วยให้น้ำใช้หรือน้ำฝักบัวของเราไม่มีตะกอน เนื่องจากเวลาที่น้ำเข้าแท็งก์ตัวตะกอนจะตกลงก้นแท็งก์ก่อน เวลาใช้ปั๊มดึงก็จะได้น้ำสะอาดออกมา ต่อนี้ไปก็ช่วยประหยัดน้ำ-ประหยัดไฟได้เยอะเลย...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)