วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557
สาธารณรัฐโปแลนด์ ช่วยเปิดทางตลาด ‘ผัก-ผลไม้-เนื้อไก่’
นายเซนอน คุคชัค เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปแลนด์ ประจำประเทศไทย เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากโปแลนด์ โดยโปแลนด์มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากหน่วยงานของไทย ในการพิจารณานำเข้าสินค้าทั้งผักและผลไม้ โดยเฉพาะแอปเปิ้ลเนื่องจากแอปเปิ้ลของโปแลนด์ มีคุณภาพดีและรสชาติอร่อย ซึ่งกระทรวงเกษตรฯยินดีที่จะพิจารณาการนำเข้าสินค้าเกษตรจากโปแลนด์ แต่ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบกักกันพืชของไทย รวมทั้งต้องผ่านการวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชจากกรมวิชาการเกษตรด้วย โดยในช่วงต้นปี 2558 โปแลนด์จะส่งเจ้าหน้าที่ทางการเกษตร เข้าหารือรายละเอียดอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการส่งออกผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์มายังไทย โดยโปแลนด์มีสินค้าเกษตรที่โดดเด่น คือ สินค้าปศุสัตว์ และสินค้าแปรรูป เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ ไส้กรอกชนิดต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากนม โดยในส่วนการนำเข้าเนื้อไก่นั้น กรมปศุสัตว์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจรับรองแหล่งผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ของโปแลนด์แล้ว ซึ่งหากประสบผลสำเร็จก็จะสามารถส่งออกเนื้อไก่มายังไทยได้ภายใน 2 ปี
วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
รื้อมาตรฐานข้าวหอม สร้างสรรค์หรือทำลายข้าวหอมมะลิไทย
รื้อมาตรฐานข้าวหอม สร้างสรรค์หรือทำลายข้าวหอมมะลิไทย
ตามที่ นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศใช้เครื่องพ่นสี ได้มีนโยบายที่จะรื้อมาตรฐานข้าวหอมจากเดิมกำหนดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย มี 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐาน 98% และมาตรฐาน 92% โดยอ้างว่าได้รับฟังความคิดเห็นผู้ประกอบการด้านข้าวที่ต้องการให้มีมาตรการเพิ่มมาตรฐานข้าวหอมมะลิในเกรด 70% หรือ 80% เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดข้าว บางประเทศที่นิยมบริโภคข้าวหอมมะลิผสมโดยมีสัดส่วนข้าวหอมมะลิ 70% หรือ 80% ที่เหลือให้นำข้าวชนิดอื่นมาผสม
การกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิไว้ 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐาน 98% และ 92% ได้มีความพยายามมาตั้งแต่ปี 2539 ซึ่งขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการพิจารณาในการกำหนดข้าวหอมมะลิให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดที่ทั่วโลกยอมรับ เพราะก่อนปี 2539 การกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิมีหลายมาตรฐาน เช่น มาตรฐาน 70% และมาตรฐาน 80% มาตรฐาน 90% เป็นต้น ทำให้เกิดความเสียหายจากคุณภาพของข้าวหอมมะลิ ซึ่งถือว่าเป็นข้าวเมล็ดยาวที่ดีที่สุดในโลก และมีปริมาณจำกัด เพราะปลูกได้เฉพาะในพื้นที่นาข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และปลูกได้เพียงปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากข้าวหอมมะลิ 105 ไม่ต้องการปริมาณน้ำที่มากเกินไป ชอบสภาพดินที่มีความเค็มเล็กน้อย เป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี จากสภาพความจำกัดของความเหมาะสมตามศักยภาพของพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งการปลูกได้เพียงปีละหนึ่งครั้ง ทำให้ข้าวหอมมะลิของประเทศไทย จึงมีปริมาณผลผลิตน้อยแต่มีคุณภาพข้าวเมล็ดยาวที่ดีที่สุดในโลก มีกลิ่นหอม ข้าวนุ่ม เพราะมีเปอร์เซ็นต์ Amylose (อมิโลส) อยู่ที่ 17-18 ทำให้ราคาข้าวหอมมะลิจึงสูงกว่าราคาข้าวชนิดอื่นๆ แต่เนื่องจากการกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิที่มีข้าวอื่นปนอยู่ด้วย มีส่วนทำให้ข้าวหอมมะลิที่มีขายในตลาดมีคุณภาพต่ำลง และทำให้จำนวนข้าวหอมมะลิที่ถูกปนโดยข้าวอื่นมีปริมาณมากขึ้น ซึ่งมาตรฐานดังกล่าว ถือว่าเป็นการทำลายคุณภาพของข้าวหอมมะลิโดยความเห็นแก่ตัวของพ่อค้าข้าว โดยความร่วมมือของส่วนราชการที่ได้กำหนดมาตรฐานดังกล่าวออกมา
จากปัญหาของการกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิหลายมาตรฐาน ที่ทำให้เราไม่มีข้าวหอมมะลิ 100% ถือว่าเป็นการทำลายคุณภาพของข้าวหอมมะลิที่เป็นข้าวเมล็ดยาวที่ดีที่สุดในโลก จึงได้มีความพยายามที่จะให้มีการกำหนดข้าวหอมมะลิให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดที่โลกยอมรับ ดังนั้นในปี 2539 จึงได้มีความพยายามร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับภาคเอกชนบางราย คือ บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวหอมมะลิ ตรา หงส์ทอง ที่มีชื่อเสียง จำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิขึ้นมาใหม่ และได้ข้อยุติว่ามาตรฐานข้าวหอมมะลิควรจะมีเพียง 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐาน 98% และมาตรฐาน 92%
จากความพยายามดังกล่าว ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้น คือ คุณอดิศัย โพธารามิก ที่ได้นำแนวทางดังกล่าวมากำหนดเป็นนโยบายภายใต้การหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ซึ่งผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการ อยู่ในปี 2544
มาตรฐานข้าวหอมมะลิจึงมีเพียง 2 มาตรฐาน ดังที่ได้ใช้อยู่ถึงปัจจุบัน คือ มาตรฐาน 98% หรือมีเนื้อข้าวหอมมะลิไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 มีสิ่งเจือปนได้ไม่เกินร้อยละ 2 และมาตรฐาน 92% หรือมีสิ่งเจือปนได้ไม่เกินร้อยละ 8 และได้ใช้มาตรฐานนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ผมไม่ทราบว่า คุณดวงพร ได้ใช้ตรรกะอย่างไรที่จะให้ยกเลิกมาตรฐาน 98% แต่ให้คงมาตรฐาน 92% ไว้ และให้กำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิ 70% โดยให้มีข้าวอื่นปนได้ 30% หรืออาจจะมีมาตรฐาน 80% และมีข้าวอื่นปนได้ 20% เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเรียกข้าวนี้ว่าเป็นข้าวหอมมะลิได้อย่างไร นโยบายเช่นนี้คือนโยบายทำลายข้าวหอมมะลิของชาวนาไทยและประเทศไทยโดยรวม
คุณดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ไม่เคยปลูกข้าว ท่านคงจะไม่รู้สึกภูมิใจต่อข้าวหอมมะลิไทยเหมือนชาวนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ปลูกข้าวหอมมะลิหรือนักวิจัยพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 ที่วิจัยพบพันธุ์ข้าวนี้มาตั้งแต่ปี 2504 ที่มีส่วนทำให้ชื่อเสียงข้าวไทยเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ท่านจึงมีความคิดโดยอ้างว่าเป็นความต้องการของพ่อค้า และท่านได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาชาวนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิบ้างแล้วหรือยัง หรือท่านเพียงแต่รับฟังข้อเสนอจากพ่อค้าข้าวเพียงฝ่ายเดียว
ผมคิดว่า กระทรวงพาณิชย์ คงต้องพิจารณากันอย่างจริงจังสักครั้งว่า นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ท่านได้ดำเนินการเรื่องข้าว โดยข้าราชการเองหรือตามใบสั่งนักการเมืองที่ใช้กระทรวงพาณิชย์เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าว ตั้งแต่ปี 2554 - 2557 ที่รัฐบาลได้ใช้เงินถึง 9.8 แสนล้านบาท รับจำนำข้าวจำนวน 54.4 ล้านตัน และมีตัวเลขการขาดทุนไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท และโครงการรับจำนำนี้มีการทุจริตทุกขั้นตอน รวมทั้งการจำหน่ายข้าวถุงของ อคส. ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ก็พบการทุจริตจากการตรวจสอบพบของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา หรือนโยบายเกี่ยวกับข้าวอื่นๆ ที่ได้ใช้เงินในเรื่องการตลาดข้าวอย่างมหาศาล โดยผ่านคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ซึ่งมีข้าราชการของกระทรวงพาณิชย์ เป็นเลขานุการมาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้คนส่วนใหญ่จะชี้ไปที่นักการเมือง แต่แท้ที่จริงแล้วผู้ที่ขับเคลื่อนโครงการนี้คือข้าราชการประจำ เช่น ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศและอคส. เป็นต้น (ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาดังกล่าว) ซึ่งท่านไม่สามารถที่จะปัดความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เพราะท่านมีอำนาจหน้าที่ที่จะสามารถทักท้วงได้ แต่ท่านไม่ทำ อาจจะเป็นเพราะเกรงกลัวนักการเมืองหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันไม่มีใครทราบได้ แต่ถ้าพวกท่านในฐานะที่เป็นข้าราชการหรือเป็นข้าของแผ่นดินอย่างแท้จริง ท่านจะต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กับนักการเมืองชั่วเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ส่วนจะมีใครต้องรับผิดชอบบ้างนั้น คงต้องรอผลการชี้มูลความผิดจากป.ป.ช. ซึ่งคงจะมีผลออกมาภายในเวลาไม่ช้านี้
นอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ที่ทำลายข้าวไทยในทุกมิติอย่างยับเยินแล้ว ท่านยังจะทำลายข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง คือ การกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิเพื่อเอาใจพ่อค้าที่จะใช้ข้าวอื่นมาปลอมปนกับข้าวหอมมะลิ ซึ่งก็คงจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่คิดเช่นนี้ได้ เช่นเดียวกับนโยบายจำนำข้าวที่เป็นโครงการอุดหนุนที่แพงและสร้างความเสียหายใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์นโยบายเกษตรไทย อุดหนุนชาวนามีฐานะ ผู้บริโภค โรงสี โกดัง ผู้ตรวจข้าว สร้างความร่ำรวยให้พ่อค้า พรรคพวก และนักการเมือง (TDRI: กรุงเทพธุรกิจ)
กระทรวงพาณิชย์ โปรดหยุดและทบทวนบทบาทและหน้าที่ของท่านต่อนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้าวได้แล้วหรือยัง อย่าทำลายข้าวไทยให้มากไปกว่านี้อีกเลยตามที่ นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้มีนโยบายที่จะรื้อมาตรฐานข้าวหอมจากเดิมกำหนดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย มี 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐาน 98% และมาตรฐาน 92% โดยอ้างว่าได้รับฟังความคิดเห็นผู้ประกอบการด้านข้าวที่ต้องการให้มีมาตรการเพิ่มมาตรฐานข้าวหอมมะลิในเกรด 70% หรือ 80% เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดข้าว บางประเทศที่นิยมบริโภคข้าวหอมมะลิผสมโดยมีสัดส่วนข้าวหอมมะลิ 70% หรือ 80% ที่เหลือให้นำข้าวชนิดอื่นมาผสม
การกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิไว้ 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐาน 98% และ 92% ได้มีความพยายามมาตั้งแต่ปี 2539 ซึ่งขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการพิจารณาในการกำหนดข้าวหอมมะลิให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดที่ทั่วโลกยอมรับ เพราะก่อนปี 2539 การกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิมีหลายมาตรฐาน เช่น มาตรฐาน 70% และมาตรฐาน 80% มาตรฐาน 90% เป็นต้น ทำให้เกิดความเสียหายจากคุณภาพของข้าวหอมมะลิ ซึ่งถือว่าเป็นข้าวเมล็ดยาวที่ดีที่สุดในโลก และมีปริมาณจำกัด เพราะปลูกได้เฉพาะในพื้นที่นาข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และปลูกได้เพียงปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากข้าวหอมมะลิ 105 ไม่ต้องการปริมาณน้ำที่มากเกินไป ชอบสภาพดินที่มีความเค็มเล็กน้อย เป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี จากสภาพความจำกัดของความเหมาะสมตามศักยภาพของพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งการปลูกได้เพียงปีละหนึ่งครั้ง ทำให้ข้าวหอมมะลิของประเทศไทย จึงมีปริมาณผลผลิตน้อยแต่มีคุณภาพข้าวเมล็ดยาวที่ดีที่สุดในโลก มีกลิ่นหอม ข้าวนุ่ม เพราะมีเปอร์เซ็นต์ Amylose (อมิโลส) อยู่ที่ 17-18 ทำให้ราคาข้าวหอมมะลิจึงสูงกว่าราคาข้าวชนิดอื่นๆ แต่เนื่องจากการกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิที่มีข้าวอื่นปนอยู่ด้วย มีส่วนทำให้ข้าวหอมมะลิที่มีขายในตลาดมีคุณภาพต่ำลง และทำให้จำนวนข้าวหอมมะลิที่ถูกปนโดยข้าวอื่นมีปริมาณมากขึ้น ซึ่งมาตรฐานดังกล่าว ถือว่าเป็นการทำลายคุณภาพของข้าวหอมมะลิโดยความเห็นแก่ตัวของพ่อค้าข้าว โดยความร่วมมือของส่วนราชการที่ได้กำหนดมาตรฐานดังกล่าวออกมา
จากปัญหาของการกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิหลายมาตรฐาน ที่ทำให้เราไม่มีข้าวหอมมะลิ 100% ถือว่าเป็นการทำลายคุณภาพของข้าวหอมมะลิที่เป็นข้าวเมล็ดยาวที่ดีที่สุดในโลก จึงได้มีความพยายามที่จะให้มีการกำหนดข้าวหอมมะลิให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดที่โลกยอมรับ ดังนั้นในปี 2539 จึงได้มีความพยายามร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับภาคเอกชนบางราย คือ บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวหอมมะลิ ตรา หงส์ทอง ที่มีชื่อเสียง จำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิขึ้นมาใหม่ และได้ข้อยุติว่ามาตรฐานข้าวหอมมะลิควรจะมีเพียง 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐาน 98% และมาตรฐาน 92%
จากความพยายามดังกล่าว ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้น คือ คุณอดิศัย โพธารามิก ที่ได้นำแนวทางดังกล่าวมากำหนดเป็นนโยบายภายใต้การหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ซึ่งผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการ อยู่ในปี 2544
มาตรฐานข้าวหอมมะลิจึงมีเพียง 2 มาตรฐาน ดังที่ได้ใช้อยู่ถึงปัจจุบัน คือ มาตรฐาน 98% หรือมีเนื้อข้าวหอมมะลิไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 มีสิ่งเจือปนได้ไม่เกินร้อยละ 2 และมาตรฐาน 92% หรือมีสิ่งเจือปนได้ไม่เกินร้อยละ 8 และได้ใช้มาตรฐานนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ผมไม่ทราบว่า คุณดวงพร ได้ใช้ตรรกะอย่างไรที่จะให้ยกเลิกมาตรฐาน 98% แต่ให้คงมาตรฐาน 92% ไว้ และให้กำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิ 70% โดยให้มีข้าวอื่นปนได้ 30% หรืออาจจะมีมาตรฐาน 80% และมีข้าวอื่นปนได้ 20% เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเรียกข้าวนี้ว่าเป็นข้าวหอมมะลิได้อย่างไร นโยบายเช่นนี้คือนโยบายทำลายข้าวหอมมะลิของชาวนาไทยและประเทศไทยโดยรวม
คุณดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ไม่เคยปลูกข้าว ท่านคงจะไม่รู้สึกภูมิใจต่อข้าวหอมมะลิไทยเหมือนชาวนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ปลูกข้าวหอมมะลิหรือนักวิจัยพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 ที่วิจัยพบพันธุ์ข้าวนี้มาตั้งแต่ปี 2504 ที่มีส่วนทำให้ชื่อเสียงข้าวไทยเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ท่านจึงมีความคิดโดยอ้างว่าเป็นความต้องการของพ่อค้า และท่านได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาชาวนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิบ้างแล้วหรือยัง หรือท่านเพียงแต่รับฟังข้อเสนอจากพ่อค้าข้าวเพียงฝ่ายเดียว
ผมคิดว่า กระทรวงพาณิชย์ คงต้องพิจารณากันอย่างจริงจังสักครั้งว่า นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ท่านได้ดำเนินการเรื่องข้าว โดยข้าราชการเองหรือตามใบสั่งนักการเมืองที่ใช้กระทรวงพาณิชย์เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าว ตั้งแต่ปี 2554 - 2557 ที่รัฐบาลได้ใช้เงินถึง 9.8 แสนล้านบาท รับจำนำข้าวจำนวน 54.4 ล้านตัน และมีตัวเลขการขาดทุนไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท และโครงการรับจำนำนี้มีการทุจริตทุกขั้นตอน รวมทั้งการจำหน่ายข้าวถุงของ อคส. ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ก็พบการทุจริตจากการตรวจสอบพบของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา หรือนโยบายเกี่ยวกับข้าวอื่นๆ ที่ได้ใช้เงินในเรื่องการตลาดข้าวอย่างมหาศาล โดยผ่านคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ซึ่งมีข้าราชการของกระทรวงพาณิชย์ เป็นเลขานุการมาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้คนส่วนใหญ่จะชี้ไปที่นักการเมือง แต่แท้ที่จริงแล้วผู้ที่ขับเคลื่อนโครงการนี้คือข้าราชการประจำ เช่น ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศและอคส. เป็นต้น (ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาดังกล่าว) ซึ่งท่านไม่สามารถที่จะปัดความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เพราะท่านมีอำนาจหน้าที่ที่จะสามารถทักท้วงได้ แต่ท่านไม่ทำ อาจจะเป็นเพราะเกรงกลัวนักการเมืองหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันไม่มีใครทราบได้ แต่ถ้าพวกท่านในฐานะที่เป็นข้าราชการหรือเป็นข้าของแผ่นดินอย่างแท้จริง ท่านจะต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กับนักการเมืองชั่วเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ส่วนจะมีใครต้องรับผิดชอบบ้างนั้น คงต้องรอผลการชี้มูลความผิดจากป.ป.ช. ซึ่งคงจะมีผลออกมาภายในเวลาไม่ช้านี้
นอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ที่ทำลายข้าวไทยในทุกมิติอย่างยับเยินแล้ว ท่านยังจะทำลายข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง คือ การกำหนดมาตรฐานข้าวหอมมะลิเพื่อเอาใจพ่อค้าที่จะใช้ข้าวอื่นมาปลอมปนกับข้าวหอมมะลิ ซึ่งก็คงจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่คิดเช่นนี้ได้ เช่นเดียวกับนโยบายจำนำข้าวที่เป็นโครงการอุดหนุนที่แพงและสร้างความเสียหายใหญ่หลวงที่สุดในประวัติศาสตร์นโยบายเกษตรไทย อุดหนุนชาวนามีฐานะ ผู้บริโภค โรงสี โกดัง ผู้ตรวจข้าว สร้างความร่ำรวยให้พ่อค้า พรรคพวก และนักการเมือง (TDRI: กรุงเทพธุรกิจ)
กระทรวงพาณิชย์ โปรดหยุดและทบทวนบทบาทและหน้าที่ของท่านต่อนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้าวได้แล้วหรือยัง อย่าทำลายข้าวไทยให้มากไปกว่านี้อีกเลย
เครื่องพ่นสี
วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557
การแก้ไขปัญหาดิน เพื่อปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์
การปลูกผักและไม้ผลอินทรีย์ คือการปลูกผักและไม้ผลที่มีระบบการผลิต การใช้เครื่องพ่นยาสะพายหลัง ควรพิจารณาถึงสภาพแวดล้อม รักษาสมดุลธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี หรือสารกำจัดศัตรูพืชต่างๆโดยหันกลับมาใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ไถกลบเศษพืช และปุ๋ยชีวภาพในการแก้ไขบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ผักและไม้ผลมีความแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ และไม่ทำลายสภาพแวดล้อม
แนะนำการผลิตปุ๋ยคอก โดยใช้สารเร่งจุลินทรีย์
พด.1 มีส่วนผสมในการผลิต คือ 1) มูลไก่ 300 กิโลกรัม 2) รำข้าวละเอียด 30 กิโลกรัม
3) สารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 1 ซอง (100 กรัม) และ
4) ฟางข้าว เพื่อใช้สำหรับคลุมกองปุ๋ยหมัก
วิธีทำปุ๋ยคอก ผสมมูลไก่ รำละเอียด และสารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 ให้เข้ากัน รดน้ำปรับความชื้น ประมาณ 60% ทำการตั้งกองปุ๋ยคอกให้สูง ประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วนำฟางข้าวมาคลุมกองปุ๋ยคอกไว้ เพื่อรักษาความชื้นและธาตุอาหารในกองปุ๋ยหมัก ในระหว่างการหมักไม่ต้องกลับกองปุ๋ยคอก ปล่อยให้เกิดการย่อยสลายเป็นเวลา 7 วัน จึงนำไปใช้ในการปลูกพืชได้
วิธีใช้ปุ๋ยคอก ให้เตรียมแปลงเพาะกล้า โดยใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1 ตัน/ไร่ และช่วงการเจริญเติบโตของพืช ให้ใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1 ตัน/ไร่ โดยใช้เครื่องปั่นไฟ
กระบวนการผลิตน้ำหมักชีวภาพ จากไข่ไก่ โดยใช้สารเร่ง พด.2 มีส่วนผสมในการผลิต คือ 1) ไข่ไก่ (รวมเปลือก) ซึ่งปั่นให้ละเอียด 50 ฟอง 2) ตับ 3 กิโลกรัม 3) กากน้ำตาล 3 กิโลกรัม 4) สารเร่งจุลินทรีย์ พด.2 1 ซอง (25 กรัม) และ 5) น้ำ 20 ลิตร
กระบวนวิธีทำน้ำหมักชีวภาพ นำไข่ไก่ที่ปั่นละเอียด ตับ และกากน้ำตาลลงในถังหมักผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทำการละลายสารเร่งจุลินทรีย์ พด.2 จำนวน 1 ซอง ผสมในน้ำ คนให้เข้ากันนาน 5 นาที จากนั้นเทลงในส่วนผสมของไข่ไก่และตับ แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง พร้อมกับเติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร จากนั้นปิดฝาไม่ต้องสนิท และตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม 20 วัน (จนไม่ปรากฏฟอง)
วิธีใช้น้ำหมักชีวภาพ
1.ก่อนระยะการเก็บเกี่ยวพืชผักและไม้ผล ควรฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ ทุก 7 วัน หรือรดลงในดินบริเวณโคนต้นไม้ผล เช่น มะละกอ และชมพู่
2.ในการปลูกถั่วฝักยาว จะใช้น้ำหมักชีวภาพ ที่ประกอบด้วยไข่ไก่และปลาหมัก ที่เจือจาง 1:1,000 ฉีดพ่นทุก 7-10 วัน ซึ่งน้ำหมักชีวภาพจากไข่ จะช่วยเร่งการออกดอกผลได้ดี เนื่องจากมีฮอร์โมนจิบเบอเรลลินสูง
การแก้ไขวัชพืช ต้องปล่อยให้วัชพืชสูงจนออกดอก แต่ยังไม่มีเมล็ด ถ้าปลูกปอเทืองด้วย ให้ไถกลบเมื่อปอเทืองออกดอก ทำการตัดต้นวัชพืชตรงบริเวณโคนต้นพร้อมกับต้นปอเทือง ด้วยเครื่องตัดหญ้า จากนั้นใช้รถไถทำการไถกลบลงดิน ตามด้วยใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 1 ตันต่อไร่ แล้วจึงไถพรวนอีกครั้ง ฉีดน้ำหมักชีวภาพ เจือจาง 1:200 พ่นให้ทั่วแปลง หมักทิ้งไว้ ถ้าให้น้ำ 2-3 วัน จะสามารถทำการปลูกพืชได้ ทำการใส่ปุ๋ยหมัก 1 ตันต่อไร่ ในช่วงก่อนปลูกพืช และช่วงระหว่างการเจริญเติบโตของพืช
ที่บอกมาแล้ว นักวิชาการของกรมพัฒนาที่ดิน ได้ชี้ช่องทางวิธีทำเกษตรอินทรีย์ ให้กับเกษตรกร และแจกจ่ายสารเร่งจุลินทรีย์ พด.1 และ พด.2 ทั่วประเทศ ไปรับได้ที่สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต หรือสถานีพัฒนาที่ดิน ที่ตั้งในจังหวัดใกล้บ้านของท่าน นะครับ...
http://kasetfocusblos.blogspot.com/2014/10/blog-post_29.html
วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557
ต่อตอนที่2 วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย
ต่อตอนที่2 วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย
-มะละกอพันธุ์ครั่ง เป็นมะละกอดิบหรือส้มตำพันธุ์ใหม่ที่ใช้ยาฆ่าแมลงและใช้เครื่องพ่นยาน้อย และที่มีสื่อทำข่าวกันมากจนทำให้เกษตรกรปลูกกันเยอะที่สุด โดยชูข้อเด่นตรงที่เนื้อกรอบ หวาน อร่อย หลังเก็บจากต้นแล้ว สดอยู่ได้นานกว่าพันธุ์อื่น 5-6 วันก็ยังไม่เหี่ยว และบอกว่าทนทานไวรัสจุดวงแหวนได้ดี(อันนี้จริงเปล่าไม่รู้) แต่ข้อด้อยก็คือ ผลมีร่องทำให้เวลาปอกเปลือก เปลือกสีเขียวจะติดอยู่ในร่องนั้น ขูดเส้นยาก ตอนนี้เริ่มมีปัญหาด้านตลาดแต่นักค้นคว้าก็ยังเพิ่งเปิดตัวครั่งพันธุ์ใหม่เนื้อเหลืองไปเมื่อเดือนที่แล้วอีกซึ่งครั่งเนื้อเหลืองจะทำให้เส้นส้มตำน่ารับประทานมากขึ้น ผู้รายงานข่าวประโคมข่าวอีกเช่นเดิมแต่ปัญหาร่องที่ผลจะทำให้แม่ค้ายอมรับได้แค่ไหนต้องติดตามกันต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557
เทคนิคการปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย
เทคนิคการปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย
จริงๆไม่ได้คิดที่จะพูดคุยเรื่องนี้เลย เพราะนึกไม่ถึงค่ะ แต่เมื่อวานมีคนเข้ามาถามในlineให้ช่วยหาตลาดมะละกอแขกดำให้หน่อย อย่างเช่นผมปลูกมะละกอพันธุ์ครั่ง เรดแคริเบี้ยนขายที่ไหนดี ทำให้คิดว่าเรามองข้ามเรื่องนี้ไปจริงๆ เพราะชีวิตอยู่แต่กับมะละกอฮอลแลนด์ เลยไม่ได้มองพันธุ์อื่น
- มะละกอฮอลแลนด์ คือพันธุ์ที่น่าดึงดูดและน่าลงทุนที่สุด เพราะเป็นพันธุ์มะละกอกินสุกที่นิยมที่สุดและใช้เครื่องพ่นยาน้อยที่สุด ตลาดกว้างขวาง แม่ค้ารับซื้อเยอะที่สุด ส่วนที่ตกเกรดหรือเป็นโรคก็ยังวางขายเข้าโรงงานได้ ราคามะละกอจะยืนพื้นจากสวน 8-10 บาท/กก. ราคาขายส่งอยู่ที่ 15-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 20-35 บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงสูงกว่้าพันธุ์อื่นๆ มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเนื่องจากดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตค่อนข้างน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ใครที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับเงินก้อนโตได้เลย มีเงินเหลือเฟือไปซื้อเครื่องมือการเกษตรเยอะเลยคะ
-มะละกอแขกดำ เคยเป็นมะละกอกินสุกที่ครองตลาดในสมัยก่อน แต่วันนี้หมดสมัยของแขกดำในตลาดกินสุกไปแล้ว แขกดำจึงเป็นมะกอที่หาตลาดไม่เจอ ไม่รู้จะอยู่ตรงไหน กินสุกก็ได้แต่ก็สู้ฮอลแลนด์ไม่ได้ ตลาดไทมีแผงมะละกอ 100 แผง แต่มีเพียง 2 แผงที่ขายแขกดำและปริมาณการขายก็ไม่มาก แต่ในตลาดกินดิบหรือส้มตำ แขกดำก็ไปได้แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าแขกนวลที่มีคุณสมบัติดีกว่า
-มะละกอแขกนวล ถือป็นมะละกอกินดิบที่ครองตลาด เพราะเป็นมะละกอที่เนื้อกรอบ อร่อย แม่ค้าส้มตำชอบ อีกทั้งยังเป็นมะกอที่ติดดก ผลใหญ่ มะละกอกินดิบมีจุดดีตรงที่เก็บเกี่ยวเร็ว 5 เดือนก็เก็บขายได้แล้ว จากนั้นจะเก็บกันทุก 15-20 วัน (ครั้งหนึ่งก็ประมาณ 20-25 ตัน ในพื้นที่ปลูกประมาณ 10 ไร่) มะละกอดิบดูแลจัดการง่ายกว่ามะละกอสุกเยอะ ไม่ต้องหุ้มห่อผล ไม่ต้องระมัดระวังมากตอนเก็บ เก็บเสร็จแพ็คใส่ถุงพลาสติก1ถุง 10 กก.ยกใส่ขึ้นรถขายได้เลย แต่ราคาก็จะอยู่ที่ 4-5 บาท ตลอดทั้งปี ช่วงราคาถูกก็อยู่ที่ 2 บาทค่ะ แทบไม่คุ้มค่าขนส่งเลยค่ะ
เด๊๋ยวมาพูดคุยกันต่อคะ ติดตามในบทความต่อไปนะคะ...
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557
กลยุทธ์การเพาะเมล็ด/และเคล็ดลับการปลูกพริก
กลยุทธ์การเพาะเมล็ด/และเคล็ดลับการปลูกพริก
ครั้นได้เมล็ดพันธุ์พริกมาแล้ว ให้นำไปแช่น้ำร้อน ถ้าหญ้าเริ่มยาวให้ใช้เครื่องตัดหญ้า หลังจากนั้นใช้น้ำร้อนเทลงไปในภาชนะก่อน 1 ส่วนและตามด้วยน้ำเย็นอีก 1 ส่วน ทดสอบโดยมือจุ่มลงไปพอมือเราทนได้ ก็ใช้ได้หรือประมาณการ 50 องศา แช่ไว้ราว 30 นาที ต่อจากนั้นนำไปห่อในผ้าขาวบาง บ่มไว้ 1 คืนแล้วนำเมล็ดไปเพาะได้ โดยบ่มไว้ในกระติกน้ำร้อนก็ได้ ใช้ถ้วยคว่ำแล้วเอาเมล็ดพริกวางบนถ้วยที่คว่ำไว้ เพื่อไม่เมล็ดพริกแช่น้ำที่เราพ่นใส่เมล็ดพริกที่บ่ม เมล็ด พริกจะได้ไม่เน่าไปซะก่อนครับ
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557
เกษตรอินทรีย์ : วิถีทางใหม่ของเกษตรกรไทย
การทำเกษตรกรรมของไทยมักพบปัญหาการขาดทุนเนื่องแต่เครื่องปั่นไฟราคาสูงขึ้น ซึ่งหนึ่งในต้นเหตุของปัญหานี้เกิดจากรายจ่ายในการจัดซื้อสารเคมีจำนวนมาก มาใช้เพื่อเร่งผลผลิต อย่างไรก็ตาม หากผลผลิตที่ได้มีราคาตกต่ำ การขาดทุนก็ยังคงมีอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น ในสมัยนี้กระแสการดูแลรักษาสุขภาพของประชากรโลกเริ่มมีมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยและปราศจากสารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้เกษตรกรหลายรายจึงคิดหาวิธีการทำเกษตรกรรม แนวใหม่ เรียกว่า เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) โดยใช้เครื่องปั่นไฟมือสองเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและได้ผลผลิตที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยการขยันประยุกต์ใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการใช้ปัจจัยการผลิตภายนอกและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งแบบการทำเกษตรแนวนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
เกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย
สหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Agriculture : IFOM) ให้คำนิยามของเกษตรอินทรีย์ว่าเป็น “ระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใยด้วยความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยเน้นความเชื่อปรับปรุงบำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศการเกษตร เกษตรอินทรีย์จึงลดการใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอาจลดปัจจัยการผลิตภายนอก และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ เช่นปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ และในขณะเดียวกันก็หมั่นเพียรประยุกต์ใช้ธรรมชาติในการเพิ่มผลผลิตและพัฒนาความต้านทานโรคของพืชและสัตว์เลี้ยง” หลักการเกษตรอินทรีย์จึงเป็นหลักการสากลที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม ภูมิอากาศและวัฒนธรรมของท้องถิ่น เนื่องจากก่อให้เกิดผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ และช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน มีหลักการของการอยู่ร่วมกันและพึ่งพิงธรรมชาติทั้งบนดินและใต้ดิน ใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเห็นคุณค่า และมีการอนุรักษ์ให้อยู่อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบเป็นองค์รวมและความสมดุลที่เกิดจากความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศทั้งระบบ
ภาครัฐและเอกชนไทยเริ่มตื่นตัวที่จะพัฒนาสินค้าเกษตรของไทยเช่นเครื่องพ่นยา ให้มีคุณภาพและปราศจากสารพิษตกค้าง หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เกษตรของไทยเริ่มตรวจสอบคุณภาพ สินค้าอย่างเข้มงวด เนื่องจากพบว่ามีสารเคมีปนเปื้อน ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียให้กับภาคเกษตรอย่างมาก ทางภาครัฐจึงรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งแบ่งการผลิตได้เป็น 2 แบบ คือ
1. เกษตรอินทรีย์แบบพื้นบ้าน ผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก และมีการนำผลผลิตบางส่วนไปแลกเปลี่ยนในตลาดท้องถิ่น แต่ผลผลิตนี้จะไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
2. เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เป็นการทำการเกษตรเพื่อซื้อขายผ่านทางระบบตลาด และหากตรารับรองมาตรฐานทัดเทียมกับมาตรฐานจากต่างประเทศ จะทำให้ผลผลิตสามารถส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ด้วย เกษตรอินทรีย์ของไทยยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มแรก กลุ่มผู้ทำการเกษตรอินทรีย์ยังมีส่วนแบ่งจำกัด ผู้ประกอบการและ ผู้ผลิตที่สำคัญได้แก่ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่ทำงานร่วมกับสหกรณ์กรีนเนท จำกัด และมูลนิธิสายใยแผ่นดิน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 55.89 ของเกษตรกรที่ทำการผลิตเกษตรอินทรีย์ และมีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.14 ของพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั้งหมดภายในประเทศ เป็นที่สังเกตว่า บริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรปริมาตรใหญ่ที่เป็นหน่วยงานของภาคเอกชน ซึ่งดำเนินกิจการสินค้าเกษตรเคมีอยู่เดิม เริ่มเข้ามามีบทบาทในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอุตสาหกรรมเป็นหลัก เนื่องจากความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยเป็นการผลิตแบบง่ายๆ ไม่ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ผลผลิตที่ได้ก็เป็นสินค้าพื้นฐาน เช่น ข้าว ผักและผลไม้ ส่วนการแปรรูปสินค้ายังมีน้อย เพราะวัตถุดิบมีปริมาณไม่มาก สมัยนี้มีผลผลิตที่จำหน่ายออกสู่ตลาดประมาณไม่เกิน 6,000 ตันต่อปี สำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้แก่ ข้าว กล้วยหอม หน่อไม้ฝรั่ง กระเจี๊ยบเขียว สับประรด ขิง และสมุนไพรอีกหลายชนิด ตลาดเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยยังเป็นตลาดของผู้ผลิตคือ การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีจำนวนน้อย ผู้ผลิตสามารถเป็นผู้กำหนดการตลาดได้ค่อนข้างมาก ราคาผลผลิตก็มีแนวโน้มสูงกว่าราคาสินค้าเกษตรทั่วไปประมาณร้อยละ 20-50 การที่ระดับราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่ามีส่วนแบ่งการผลิตต่ำกว่าความต้องการของตลาดเท่านั้น แต่เนื่องจากเกษตรอินทรีย์จะต้องมีหลักประกันในเรื่องราคาผลผลิตที่ยุติธรรม ต่อผู้ผลิต จึงทำให้ต้นทุนการผลิตเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างสูงกว่าการผลิตทั่วไป อย่างไรก็ดีมีการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคจะยอมรับราคาผลผลิตที่สูงไม่เกินร้อยละ15-20
เกษตรอินทรีย์ในตลาดโลก
สมัยปัจจุบันสินค้าเกษตรอินทรีย์เช่นเครื่องตัดหญ้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ทั้งนี้จากผลการสืบสวนของศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ พบว่า ความต้องการสินค้าในปี 2541 สูงถึง 13,000 ล้านดอลลาร์สรอ. และในปี 2543 เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สรอ. อัตราการขยายตัวของตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยเฉลี่ยในแต่ละปีสูงถึงร้อยละ 20
ในปี 2546 มูลค่าการค้าอาหารเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 1-2 ของตลาดอาหารทั้งหมด และมีการคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งตลาดจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5-10 ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ประเทศที่มีการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างสูงได้แก่ ประเทศในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะตลาดเยอรมนี มีมูลค่าถึง 2,800-3,100 ล้านดอลลาร์สรอ. ในขณะที่สวิตเซอร์แลนด์มีสัดส่วนของอาหารเกษตรอินทรีย์ใน ตลาดอาหารสูงสุด คือ ร้อยละ 3.2-3.7 ส่วนอาหารเกษตรอินทรีย์ที่นิยมบริโภคได้แก่ กาแฟ ข้าว ชา ผักและผลไม้
สมมุติว่าขณะนี้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะมีนโยบายสนับสนุนการผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์ภายในประเทศ แต่กำลังการผลิตก็ยังไม่สามารถขยายตัวได้ทันกับความต้องการ เช่น ฝรั่งเศสที่เป็นประเทศผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่การผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์เพียงร้อยละ 0.3 ของพื้นที่การเพาะปลูกทั้งหมด ส่วนปริมาณการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ของสหราชอาณาจักรมีมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สรอ. ต้องนำเข้าถึงร้อยละ 60-70 ของปริมาณการบริโภคทั้งหมด ดังนั้นประเทศที่สามารถผลิตสินค้าเกษตรจึงหันมาผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อการค้า ถึงกว่า 100 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยประเทศในแอฟริกา 27 ประเทศ เอเชีย 18 ประเทศ อเมริกาใต้ 25 ประเทศนอกเหนือจากประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ทั้งนี้ประเทศที่กำลังพัฒนาจะเป็นผู้นำในการผลิตสินค้าประเภทกาแฟ ข้าว ชา สมุนไพร ผัก และผลไม้ ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทปศุสัตว์และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนใหญ่
ทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทย
แม้ว่าตลาดเกษตรอินทรีย์จัดว่าเป็นตลาดใหม่สำหรับเกษตรกรไทย แต่ด้วยแนวโน้มของตลาดที่เติบโตขึ้นเป็นลำดับ จากการที่ผู้บริโภคต้องการสินค้ามากขึ้น เพราะว่าความใส่ใจในด้านสุขภาพ ขณะที่ผู้ผลิตมีจำนวนจำกัด การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ออกสู่ตลาดของเกษตรกรไทยจึงเป็นหนทางที่สดใสกว่าที่ไทย จะยังคงผลิตสินค้าเกษตรวีโกเทคทั่วไปแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย หรือเวียดนาม ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยมาก การปรับเปลี่ยนมาผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ย่อมจะทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความได้เปรียบทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และ ภูมิอากาศ อีกทั้งยังเป็นประเทศผู้ก่อกำเนิดและส่งออกอาหารที่สำคัญ จึงย่อมมีโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพให้เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของ โลกได้ แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เพียงใดนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การสร้างความเข้าใจและความรู้ให้แก่เกษตรกร การให้บริการตรวจสอบรับรองกฏเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ เป็นต้น จึงนับได้ว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทย ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรและอาหารของประเทศ ในขณะเดียวกันจะช่วยเสริมให้โครงการ Food Safety ของรัฐบาลประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น และมีผลดีต่อเนื่องในด้านคุณภาพชีวิตของเกษตรกรจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเกิดประโยชน์ทางอ้อมต่อสังคมและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในที่สุด
เคล็ดลับการปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษ
เคล็ดลับการปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษ เป็นการปลูกผักไว้กินเองในครอบครัว โดยไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงและวัชพืช ซึ่งในสมัยนี้ผักที่วางขายตามท้องตลาดมีสารเคมีตกค้างค่อนข้างมาก ทำให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค การปลูกฝังให้เด็กนักเรียนรู้จักปลูกพืชผักไว้ทานเองจะช่วยประหยัดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ในครอบครัวสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวง
ช่วงปัจจุบันสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคอย่างมาก รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ผู้ปกครองไปรับจ้างต่างจังหวัดทิ้งลูกอยู่บ้านกับตายายรอรับเงินช่วงสิ้นเดือน ซึ่งเป็นมูลเหตุทำให้เด็กไม่รู้จักวิธีการทำงาน วิธีเพิ่มรายได้ในครอบครัว
กิจกรรมการปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษในโรงเรียนจะทำให้ผู้เรียนได้เรียนวิธีการปลูกการดูแลรักษาโดยไม่ใช้สารเคมี เป็นกิจกรรมที่เด็กนักเรียนสามารถนำไปปฏิบัติที่บ้านได้
จังหวัดสุรินทร์ มีพื้นที่ที่เหมาะในการปลูกพืชผักได้ตลอดปี สภาพดินบริเวณแปลงเกษตรเป็นดินเหนียวเพราะนำดินที่ขุดจากสระมาถมพื้นที่แปลงเกษตร ได้ปรับปรุงแก้ไขโดยใส่แกลบสดแกลบเผา ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก สภาพของดินดีขึ้น ในช่วงหน้าฝนปลุกข้าวโพด มะเขือ ถั่ว ปลายฤดูฝนปลูกพืชผักตามฤดูกาล นักเรียนที่ปฏิบัติการปลูก ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยแบ่งแปลงให้แต่ละชั้นรับผิดชอบ
ในการดำเนินการปลูกในช่วงฤดูฝนให้นักเรียนชั้น ม. 1 - 3 ลงปฏิบัติ ส่วนชั้น ป. 5 - 6 ลงปฏิบัติช่วงปลายฤดูฝน ขณะลงปฏิบัติงานให้อาจารย์ประจำชั้นช่วยควบคุมดูแลโดยแบ่งให้รับผิดชอบแปลงละ 2 - 3 คน ปลูกผักหมุนเวียนตลอดปีการศึกษา
กิจกรรมการปลูกสวนครัวปลอดสารพิษฝึกให้นักศึกษามีความรับผิดชอบ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักช่วยเหลือเพื่อน มีความรู้ความเข้าใจวิธีการปลูกผักปลอดสารพิษ รู้จักใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นให้เกิดผลประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติที่บ้านได้
การปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษทำให้ชีวิตปลอดภัยจากสารเคมี ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ผู้เรียนสามารถนำไปปฏิบัติที่บ้านเป็นแบบอย่างในที่สาธารณะได้
การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชผัก เพื่อให้ได้ผลผลิตพืชผักที่ปลอดภัยจากสารพิษ ควรใช้หลาย ๆ วิธี ผสมผสานกัน ทั้งวิธีกล การใช้สารชีวินทรีย์ สารธรรมชาติ และสารเคมีร่วมกันในการป้องกันกำจัดควบคู่กันไปกับการจัดการที่ดี
การเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรเก็บในระยะที่มีอายุแก่เหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของพืชผัก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณค่าทางอาหาร รสชาติ และรูปพรรณรูปร่าง สีสัน ความสุกเหมาะสมและดีที่สุด เมื่อถึงมือผู้บริโภค การเก็บเกี่ยวควรทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้เกิดร้อยช้ำ รอยขีดข่วน เพื่อรักษาคุณภาพให้ดีที่สุด การสูญเสียของพืชผักหลังการเก็บเกี่ยวมีสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอากาศร้อนของประเทศไทย ผักกินใบเป็นผักที่เน่าเสียได้ง่าย โดยเฉพาะหากในระหว่างเก็บเกี่ยวผักมีการ บอบช้ำ ฉีกขาด หรือเป็นแผลจากการเก็บเกี่ยว และการขนย้ายที่ไม่ดีทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เข้าทำลายง่ายดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการสูญเสียของพืชผักควรต้องมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสมทั้งก่อนการเก็บเกี่ยว และหลังการเก็บเกี่ยว
การรักษาคุณภาพผลผลิตพืชผักเบื้องต้นในแปลงหลังการเก็บเกี่ยวแล้ว ต้องรีบนำเข้าที่ร่ม อย่าให้ตากแดด แล้วเร่งร้อนระบายความร้อนภายในผลผลิตลง โดยการแผ่ออก อย่าวางสุมทับซ้อนกัน
วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557
เครื่องดูดฝุ่นแบบไหน เหมาะสมกับ ห้องทำงานของคุณ
ไม่ว่าห้องทำงาน (อดิเรก) ของคุณจะอยู่ที่ไหน ข้างบ้าน ในสวน โรงรถ บนโต๊ะกินข้าว หรือห้องเป็นสัดเป็นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นวัตถุปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้การทำงานสะดวกราบรื่นกิคือ สะอาด...ลงทุนกับเครื่องดูดฝุ่นสัก
เครื่องแล้วจะพบว่า คุณสนุกกับงานอดิเรกขึ้นเยอ (เพราะคนข้าง ๆ จะไม่บ่นเรื่องฝุ่นเต็มบ้านอีกต่อไป)
เลือกเครื่องดูดฝุ่น ต้องดูอะไรบ้าง
1. กำลังไฟและพลังแรงดูด
กำลังไฟ คือ ผลรวมไฟที่เข้าสู่เครื่อง หรือ Power Input เป็นค่าที่บ่งบอกว่า เครื่องดูดฝุ่นนั้น ๆ กินไฟเท่าไรต่อชั่วโมง มีหน่วยเป็นวัตต์ คนจำนวนมากมักคิดว่า กำลังไฟยิ่งมาก หมายถึงสามารถดูดได้ แรงกว่า แต่ไม่ใช่
ความจริงเสมอไป ต้อง ดูค่าพลังแรงดูดที่เป็น Power Output ซึ่งจะบอกถึงแรงดูดของเครื่องด้วย มี หน่วยเป็นวัตต์เหมือนกัน แต่ตัวเลข น้อยกว่า
2. ค่าหมุนเวียนอากาศ (Air Flow)
เป็นค่าที่บ่งบอกความเร็วในการดูดฝุ่น เข้าสู่ตัวถัง ขึ้งแสดงถึงความสามารถ ในการดูดของเครื่องนั้นๆได้ดีกว่ากำลังไฟ มีหน่วยเป็น CFM (ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที) หรือ 1/sec. (ลิตรต่อวินาที)
3. ระบบกรองฝุ่น
สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นโรคภูมิแพ้หรือที่บ้านมีสัตว์เลี้ยง ด้วยเหตุที่ ในการทำงานของเครื่องดูดฝุ่นนั้นไม่ใช่ แค่ดูดลมเข้าไป แต่ต้องเป่าลมออกที่ ด้านหลังของเครื่องด้วย ระบบกรองที่ดี จะช่วยกรองให้ลมที่ออกมานั้นสะอาด
ควรเลือกเครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรองที่ เรียกว่า HEPA Filter ขึ้งสามารถถอด ล้างได้ สมัยนี้เครื่องรุ่นใหม่ ๆได้พัฒนา ให้มีระบบกรองชนิดนี้ แม้แต่เครื่องแบบ ใช้งานหนัก
4. ภาชนะเก็บฝุ่น
ภาชนะที่ใช้เก็บกักฝุ่นของเครื่องดูดฝุ่นหลัก ๆ แล้วมี 3 ชนิด อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองข้ามความจุของภาชนะ เก็บฝุ่น ถ้าจุได้มากก็ไม่ต้องเทบ่อย ๆ
ถุงกรองฝุ่น ข้อดีคือ เมื่อถุงเต็มก็ทิ้ง ลงกังขยะได้ง่ายมาก ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัส กับฝุ่น แต่มีข้อเสียคือ ต้องจ่ายเงินซื้อ ถุงกรองฝุ่น ซึ่งหลายคนอาจพบปัญหา ถุงกรองรุ่นนั้นๆ เลิกผลิตหรือขาดตลาด ทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องได้
กล่องเก็บฝุ่นหรือแบบไร้ถุง (Bagless) แบบนี้ไม่ต้องมีถุง จึงประหยัด มักเก็บฝุ่นได้เยอะกว่า แต่ตอนเทฝุ่นอาจฟุ้ง กระจาย ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ฝุ่น
ถังน้ำมักมาคู่กับเครื่องดูดฝุ่นสำหรับ งานหนักที่ดูดไต้ทั้งฝุ่นและน้ำ ฝุ่นที่ดูดเข้ามาจะเก็บไว้ในกังบรรจุน้ำ ทำให้ตอนเททิ้งฝุ่นไม่ฟุ้ง เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ฝุ่น มาก ๆ แต่ถังน้ำทำให้เครื่องมีน้ำหนักมาก และต้องล้างถังทุกครั้งที่ใช้งาน
เสร็จ เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราสะสมภายในเครื่อง
อื่นๆ
เลือกเครื่องที่มีหัวดูดให้เหมาะสมกับราคาเครื่องดูดฝุ่นและการใช้งาน เช่น หัวดูดเฟอร์นิเจอร์ หัวดูดมุ้งลวด เป็นต้น
สายไฟที่ให้มาต้องยาวพอและดึงเก็บ อัตโนมัติไต้สะดวก ไม่ติดขัด
ล้อเคลื่อนที่ได้สะดวก
เสียงเมื่อเปิดใช้เครื่องไม่ควรดังเกินกว่า มาตรฐานที่กำหนดคือ 80 เดซิเบล
ท่อและด้ามสำหรับดูดฝุ่นทนทานดี
วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557
มะละกอต้นเตี้ย แตกกอ ดกสุดๆ แหวกแนวสุดๆ
ปลูกขายได้เหมือนมะละกอทั่วไป ผลผลิตเพิ่ม 3 เท่าตัว
ความเป็นจริงการปลูกมะละกอพันธุ์นี้ถ้าคนในวงการเกษตรหรือคนที่อ่านรักษ์เกษตรประจำจะรู้จักกันดีค่ะ ชื่อ มะละกอกลางดง ค่ะ เพราะเจ้าของตั้งชื่อตามตำบลที่อยู่หลังจากที่ได้พันธุ์มาค่ะ มีการเผยแพร่พันธุ์และปลูกกันมานานหลายปีแล้วค่ะ เป็นมะละกอต้นเตี้ยมากค่ะ ที่แปลกยิ่งกว่ามะละกอทุกสายพันธุ์ ก็คือ พันธุ์นี้แตกกอเองโดยสายพันธุ์ค่ะ ต้นหนึ่งจะแตกกิ่งตรงโคนต้นออกมาเป็นจำนวนมากค่ะ แต่เราเลือกไว้เพียง 3-4 กิ่งนะคะ ไม่อย่างนั้นกิ่งมันจะชนกันค่ะ แล้วลูกมะละกอจะไม่ค่อยใหญ่ค่ะ
มะละกอพันธุ์นี้เป็นมะละกอที่เหมาะสำหรับทานดิบเพราะเนื้อจะกรอบ อร่อยค่ะ ติดดกมากๆ ปลูกเชิงการค้าได้ค่ะป้อนตลาดส้มตำและมีเกษตรกรที่ปลูกขายกันมาหลายปีแล้วค่ะ ผลสุกทานได้อร่อยเหมือนกันแต่จะสู้พันธุ์สำหรับทานสุกโดยเฉพาะอย่างฮอลแลนด์ หรือ แขกดำไม่ได้ค่ะ
วิธีปลูกมะละกอและการให้ผลิตภัณฑ์เหมือนมะละกอทั่วไปค่ะ ค้ำประกันปลูกมะละกอพันธุ์นี้ไว้ ถามกันทั้งหมูบ้านค่ะ ต้นกล้าเมือก่อนแพงมากค่ะ ตอนนี้ราคาไม่แพงล่ะ ปกติขายต้นละ 50 บาทค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557
ลูกทีมในโครงการปลูกแคนตาลูปส่งมูนสตาร์
คุณขนิษฐา เจ้าของแปลงนี้เป็นผคนที่เคยเปิดร้านขายแม่แรงกระปุกมาก่อน ชาวไร่อ้อย ไร่มัน ที่ตัดสินใจไถมันทิ้งแล้วเอาพื้นที่ 2 ไร่ แบ่งมาปลูกแคนตาลูปกับเราในโครงการค่ะ เพราะมองเห็นความหวังและอนาคตที่ดีกว่าค่ะ 2 ไร่ 6,000 ต้น กับงานที่ต้องประเดและเหนื่อยกว่าการทำไร่อ้อย ไร่มันเยอะค่ะ แต่แคนตาลูปก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีและรายได้ที่คุ้มค่าเหนื่อย ไม่ต้องรอนานเป็นปีเหมือนอ้อยกับมัน กับรายได้เพียงปีละครั้ง ยังไงก็จะไม่ต้องเสียใจแน่นอนค่ะที่ตัดสินใจไถมันทิ้ง และเราจะพาคุณไปสู่ความสำเร็จให้ได้ เลื่อยโซ่ยนต์ราคาไม่แพงมาก แม้ว่ามันจะเป็นการปลูกแคนตาลูปครั้งแรกในชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวัง ความตั้งใจและพลังที่สู้เต็มร้อยค่ะ
หลังเห็นความสำเร็จที่แม้จะเพียงครึ่งทาง แต่คุณขนิษฐาตัดสินใจไถมันทิ้งอีก 2 ไร่ เตรียมลงรุ่น 2 กับเราแล้วค่ะ นี่คือความเชื่อมั่นที่มีให้กับโครงการ
เราจะศึกษาไปพร้อมกันและเดินไปพร้อมกันค่ะ ขอแค่มีความกล้าหาญและแน่ใจที่จะเดินไปข้างหน้าค่ะพร้อมแจกเครื่องพ่นสีฟรีคะ
ปั๊มน้ำ เป็นเครื่องมือไฟฟ้าอีกฝ่ายหนึ่งที่ใช้มาก ในอุตสาหกรรมและ ตามบ้านเรือน โดยเฉพาะตามที่พักอาศัยซึ่งเป็นอาคารชุด ตามอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ต่างๆ หรือในบางพื้นที่ที่ต้องการสูบน้ำจากใต้ดินขึ้นมาใช้
ดังนั้นการรู้จักมักคุ้นซื้อ รู้จักวิธีการใช้และการติดตั้ง “ปั๊มน้ำ” อย่างถูกวิธีจะไม่ก่อให้ เกิดการรั่วไหลและสิ้นเปลืองพลังงานและเป็นการใช้ไฟฟ้าและใช้น้ำอย่างมี ประสิทธิภาพ
ตระกูลของปั๊มน้ำ (ตามลักษณะการทำงาน)
ปั๊มแบบใบพัด
ปั๊มชนิดนี้ภายในเรือนปั๊ม จะมีใบพัด ปฏิบัติราชการสร้างความดัน จากการหมุนที่ความเร็วรอบสูงและแรงดันทำให้ น้ำไหลไปตามท่อที่ต่อ'ไว้ได้ นิยมนำมาใช้ใน อุตสาหกรรมและตามที่อยู่อาศัยทั่วไป เพราะ การไหลของนาจะต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ปั๊มแบบลูกสูบ
ปั๊มน้ำสายนี้เรือนปั๊มหอยโข่งเป็นกระบอกสูบ ภายในจะมีลูกสูบ ทำหน้าที่สร้างความดันจากการเคลื่อนที่ของลูกสูบ ทำให้ปริมาตรของ กระบอกสูบลดลงเกิดเป็นความดันเพื่อขับดันนาให้ไหลไปได้ แต่การไหลของนา จะเป็นช่วงๆ ตามจังหวะการเคลื่อนที่ของลูกสูบ ส่วนใหญ่นำไปใช่ในงาน ที่ต้องการความดันสูง
การทำงานของปั๊มน้ำ
ปั๊มน้ำที่ใช้ภายในบ้านเป็นชนิดที่มี ใบพัดภายในหัวปั๊มหรือปั๊มน้ำบาดาล ใบพัดเป็นตัวสร้างความดันเพื่อ ขับดันให้น้ำไหลไปได้โดยมีชุดสวิตซ์ความ ดันเป็นเครื่องใช้ไม้สอยควบคุมการทำงานของ ปั๊มน้ำ ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ท่อส่งน้ำ จะต่อโดยตรงกับจุดใช้น้ำ เช่นฝักบัว ก๊อกน้ำ ชักโครก เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเราเปิดฝักบัวหรือก๊อกน้ำ น้ำจะ ไหลออกจากท่อหรือระบบทำให้ความดัน ภายในท่อลดลงส่งผลให้เกิดการดัดต่อของ สวิตซ์ความดัน ปั๊มน้ำจึงทำงาน
การเปิดก๊อกน้ำมีผลต่อการทำงาน ของปั๊มน้ำเป็นอย่างมาก ถ้าเราเปิดก๊อก น้ำเพียง ตัว และน้ำไหลไม่แรงมากแล้ว การทำนจะไม่ตัดต่อบ่อยเพราะยังมี ความตันเหลืออยู่ในเส้นท่อมากควรใช้ปั้มน้ำอัตโนมัติ แต่ถ้าเรา เปิดก๊อกให้น้ำไหลแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่าให้ความดันเสียเร็วขึ้นปั๊มน้ำก็จะ ท่างานบ่อยมากขึ้น ตังนั้นเพื่อเป็นการ ถนอมน้ำและไฟฟ้าควรเปิดก๊อกน้ำใช้ตามความจำเป็น แต่ในกรณีที่เราจำเป็นจะต้องเปิดใช้น้ำหลายจุด พร้อมกัน เช่น ใช้ฝักบัวอาบน้ำพร้อมกับล้างจานและรดน้ำต้นไม้ จะทำให้ปั๊มน้ำทำงานทุกเวลา ดังนั้นการใช้น้ำในแต่ละจุดจึงไม่ควร เปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้สม่ำเสมอ
วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557
บริษัทไจแอ้นท์เรล (Giant Rail Co) ผู้ครอบครองสัญญาสัมปทาน
บริษัทไจแอ้นท์เรล (Giant Rail Co) ผู้ครอบครองสัญญาสัมปทาน ลงลายมือชื่อความตกลงว่าจ้างวานบริษัทที่ขอคำแนะนำจากมาเลเซีย ให้ออกแบบเลื่อยวงเดือนรายละเอียดของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงรางคู่ ระยะทาง 220 กิโลเมตร จากชายแดนไทยที่เมืองไกสอน พมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต ไปยังด่านลาวบ๋าว ชายแดนเวียดนาม
บริษัทดิจิแม็ป (Digimap Snd Bhd) ผู้จำหน่ายตู้เชื่อมไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ปรึกษาหารือโครงการอยู่แล้ว จะทำการออกแบบรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้สามารถเริ่มการก่อสร้างได้ในปี 2558 นี้ สื่อของทางการลาวรายงานในวันจันทร์ 15 ก.ย.นี้ เกี่ยวกับพิธีเซ็นสัญญาระหว่างสองฝ่ายที่จัดขึ้นในนครเวียงจันทน์ เมื่อวันที่ 11 สำหรับรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่มีระยะเวลาใบอนุญาต 50 ปี มูลค่าราว 5,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมทั้งมูลค่าการลงทุนพัฒนาสิ่งปลูกต่างๆ ด้วย
ไจแอ้นท์เรล ซึ่งเป็นบริษัทลูกของไจแอ้นท์คอนโซลิเดทเต็ด กับดิจิแม็ปเบอร์ฮาร์ดที่จำหน่ายเครื่องมือช่าง ได้เซ็นความตกลงให้สัญญาหลักระหว่างกันเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2555 ในช่วงที่มีการร่วมชุมนุมผู้นำอาเซียน ที่ลาวเป็นเจ้าของงาน โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ในขณะนั้น กับ นายกรัฐมนตรีลาวทองสิง ทำมะวง ร่วมเป็นสักขีพยาน สำหรับการก่อสร้างแผน ที่จะช่วยเปลี่ยนลาวจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เป็นประเทศแห่งการต่อเชื่อมอนุภูมิภาค
ทางการลาว กับบริษัทไจแอ้นท์เรล ได้จัดพิธีเปิดหน้าดินขึ้นในแขวงสะหวันนะเขต ในเดือน ม.ค.ปีนี้ โดยหวังว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ทันทีโดยใช้สว่านไฟฟ้า หลังจากล่าข้ามานานแรมปี แต่ในที่สุดก็ยังไม่สามารถลงมือได้ ฝ่ายผู้ลงทุนอ้างถึงว่า ระหว่างการการสำรวจความเป็นไปได้ของโครงการนั้น ได้พบวัตถุระเบิดที่หลงเหลือตั้งแต่ครั้งสงครามจำนวนมาก ตามเส้นทางรถไฟฟ้าที่จะสร้างขนานไปกับทางหลวงเลข 9 ซึ่งจะต้องเก็บกู้ให้หมดเสียก่อน
บริษัทจากมาเลเซีย เคยขยายความในเดือน พ.ย.2555 ภายหลังการเซ็นสัญญากับรัฐบาลลาว โดยระบุว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ทันทีในปี 2556 การเซ็นข้อตกลงกับบริษัทที่ปรึกษา เพื่อให้ออกแบบโครงการในรายละเอียดเมือสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญสำหรับโครงการ ในขณะที่งานด้านอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งการเก็บกู้วัตถุระเบิด ได้ดำเนินคู่ขนานกันไป สื่อของทางการกล่าว ในเดือน ก.ค.ปีนี้ ทางราชการลาวกับบริษัทผู้ลงทุน ได้จัดการทรสองทรสุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับโครงการทางรถไฟความเร็วสูงลาว-เวียดนาม รับประกันในความพร้อมของเงินลงทุน และให้ความมั่นใจแก่ทุกฝ่ายว่า โครงการยังคงเดินหน้าต่อไป แม้ว่าที่ผ่านมาจะเกิดการติดขัดที่ไม่คาดคิดหลายประการตามที่กล่าวมาแล้ว
กระนั้นก็ตาม จนถึงยุคปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ทางรถไฟความเร็วสูงรางมาตรฐานขนาด 1.435 เมตร ที่ออกแบบเพื่อการคมนาคมและการขนส่งสินค้านี้ จะไปเชื่อมต่อกับระบบรถไฟในเวียดนาม ที่ยังใช้รางกว้างเพียง 1 เมตรอย่างไร และจะก่อสร้างต่อไปอย่างไร หลังจากไปถึงชายแดนเวียดนาม
ตามทูลก่อนหน้านี้ ไจแอ้นท์คอนโซลฃิเดทเต็ดที่จำน่ายเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ได้เปิดการเจรจากับทางการเวียดนาม เกี่ยวกับการประดิษฐ์ทางรถไฟอีกช่วงหนึ่ง ไปเชื่อมต่อกับระบบรถไฟเวียดนามที่ จ.กว๋างจิ โดยหวังว่าจะสามารถสร้างการเชื่อมต่อไปไปจนถึงท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ ทางตอนเหนือของนครด่าหนัง ที่อยู่ใต้ลงไปได้
เมื่อมองในเชิงยุทธศาสตร์ ทางรถไฟลาว-เวียดนาม คล้องจองต่อแผนการก่อสร้างระเบียงขนส่งแนวตะวันออก-ตะวันตก ที่ทะลุเข้าสู่ดินแดนไทย ไปออกทะเลในอ่าวเมาะตะมะของพม่า เช่นเดียวกันกับทางหลวงเลข 9 ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ไทยได้ในที่สุด และสมัยปัจจุบันรอเชื่อมกับทางหลวงสายแม่สอด-มะละแหม่ง ในพม่า ที่กำลังกายก่อสร้างอยู่ในขณะนี้เท่านั้น
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
พูดคุยเฟื่องเรื่องมะม่วง การปลูกมะม่วงช่วงเดือนมิถุนายน 2557
พูดคุยเฟื่องเรื่องมะม่วง การปลูกมะม่วงช่วงเดือนมิถุนายน 2557
สวัสดีขอรับกระผมครอบครัวเกษตรกรไทยที่ชอบปลูกผักทุกท่านสำหรับมะม่วง เมื่อเดือนที่แล้วมองหาขายเกรดนางฟ้าเกาหลีกันแทบไม่ทันการ จนโรงอบไม่เพียงพอต่อการอบไปเกาหลี มาเดือนนี้ตลาด เกาหลีเงียบไปเลย เพราะโดนแตงโมมาเลย์เข้ามาขาย มะม่วง เลยเงียบ เพราะไปกินแตงโมที่ถูกกว่ามะม่วง ทำให้เดือน พฤษภาคมปลายๆ นางฟ้าเลยราคาตกไปเลยครับพี่น้อง หลายๆ บริษัทพยามดันไป หรือโยกไปตลาดจีน ก็โดนมะม่วง ที่ไปเกาหลีไม่ได้ไปรอที่ท้องตลาดจีนกันเต็มไปหมด ราคาดิ่งทันที ปลายทางจีน ประกอบกับมะม่วงจีนทางหนานหนิงเริ่มจะออก กับมะม่วงไต้หวันมาประดังกันพอดี ถามว่าเลวร้ายไหม ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ไม่ค่อยยอมรับราคานางฟ้าที่ตกลงแค่นั้นเองครับ แต่ก็คงไม่นานนัก ต้นๆ เดือนนี้ก็ดีแล้วครับ กลางเดือนไปก็ แพงเท่าเดิม
สำหรับตลาดอินโด ตอนนี้ก็มีมะม่วงท้องถิ่นออกมา แล้ว ไม่กินมะม่วงไทยครู่หนึ่งหนึ่ง ประกอบกับของไทยสินค้าเกษตรเช่นเครื่องพ่นยาไฟฟ้า มะม่วงปลายเดือนก็ผลิตกรรมน้อยลงไปแล้วไม่ต้องเหนื่อยแข่งราคากัน สำหรับอินโดนีเซีย แต่ตลาดจีนยังคงต้องดันกับราคาในไทย เพราะในเดือนกรกฎาคม ของในประเทศเรามักน้อย
ถึงกระนั้นมะม่วงจีนจะออกพอดีการปรากฏซื้อแพงขายถูกก็เดือน นี้ละครับ จะให้ดีก็ขายแค่ภายในประเทศครับช่วงนี้ แพงอยู่แล้ว สำหรับมะม่วงของเชียงใหม่ปีนี้ ผลผลิตสวย เกรด นางฟ้าค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะไม่ค่อยสวยมาหลายปี ติดกัน ปีนี้แก้มือได้แล้ว สวยๆ ทั้งนั้น เพราะเกษตรกรเก่งๆได้ราคาเครื่องตัดหญ้าที่ถูกลง กันทั้งนั้น สมัยนี้แต่ละสวนก็มีลูกค้าปกติจับจองกันทั้งนั้นดีใจแทนครับ มะม่วงก็ดีไปอย่าง ตลาดรอรับซื้อตลอดทั้งปี ทั้งจีน เกาหลี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น
สำหรับมะม่วงมหาชนกปีนี้ ตลาดผลสดไม่ค่อยดีนักเนื่องจากไฟฟ้าแพงแต่เครื่องปั่นไฟ ราคาถูกลง จะเป็นด้วยสาเหตุอะไรไม,ทราบแน่ซัดนัก แต่ตลาดอืดมากๆ สำหรับผลสดมหาชนก แต่ตลาดแช่แข็งก็พอไปได้มากหลายๆ โรงงาน ส่วนมะม่วงอาทูอีทูไปได้ดีครับสำหรับปีนี้ ไม่พอขาย สำหรับเกรดส่งออก
สรุปประโยชน์ของมะม่วงในเดือนมิถุนายนนี้มีอืดๆในช่วงต้นเดือน นิดหน่อย เลยช่วงนี้ไปแล้วตลาดนางฟ้าไปได้ดีละครับ ปีนี้ก็คง ไม่พอขายอยู่ดีมะม่วงเชียงใหม่ปีนี้ ขอให้พี่น้องเกษตรกรดูแล สวนกันดีๆ นะครับ เข็ดขยาดอย่างเดียวที่ไม่ได้ขาย คือพายุมาจาก ไหนไม่รู้ ฟัดซะร่วงหมดด้นแค่นั้นละครับมะม่วงไทย
การปลูกอ้อยเพื่อตัดทอนเงินลงทุนเพิ่มผลผลิต หัวใจสำคัญที่จะอยู่รอดของเกษตรกรชาวไร่อ้อย
ทั้งหมดของเกษตรกรชาวไร่อ้อยของประเทศไทย แม้ว่าจะดูทรงตัว มีอุปสรรคน้อยกว่าพืชชนิดอื่นๆ ที่ราคาขึ้นลงแต่ละปีไม่เท่ากัน ในขณะที่ตันทน การผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี แต่อ้อยเป็นพืชที่มีการคุมราคาโดยกฎหมายอย่าง ชัดเจน ทำให้ราคาขายถูกกำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล ซึ่งมี ทุกภาพส่วนเป็นคณะกรรมการ ทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร รัฐบาล อีกทั้งอ้อย ยังเป็นพืชที่มีกองทุนส่าหรับช่วยเหลือเกษตรกรส่วนหนึ่ง ที่เฉลี่ยแล้วไม่ลำบาก เหมือนกับเกษตรกรที่ทำเกษตรกรรมในสาขาอื่นๆ
นายมานะ ไม้หอม นายกองค์กรชาวไร่อ้อยที่เคยจำหน่ายรถตัดหญ้าเขต 6 กำแพงเพชร เปิด เผยกับ เกษตรโฟกัส ว่า หากดูจากสถานการณ์ของเกษตรกรซาวไร่อ้อยที่ผ่านมา ค่อนข้างทรงตัว แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปมาก นอกจากความช่วยเหลือ จากภาครัฐในการควบคุมราคาทั้งระบบของอ้อยและน้ำตาลแล้ว ลิงสำคัญที่ เกษตรกรซาวไร่อ้อยจะต้องปรับตัวเพื่อเตรียมรับกับสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของ ต้นทุนการผลิตในหลายๆ เรื่อง อาทิ แรงงาน ที่ปัจจุปันหายากขึ้น มีค่าแรงสูง ขึ้น แม้ว่าเกษตรกรซาวไร่อ้อยในปัจจุบันจะหันมาใช้เครื่องจักรมากขึ้น แต่ด้วย ความไม่เหมาะสมและลงตัวของพื้นที่ ทำให้เครื่องจักรทำงานไดไม่เข้ารูป และ คุ้มค่า เนื่องจากติดปัญหาขนาดของพื้นที่แปลงปลูกของประเทศไทยมีขนาดนั้น
การใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ในการทำงานจึงไม่สะดวก และเกิดความล่าช้า
เว้นเสียแต่ปัญหาดังกล่าวแล้ว ในระบบการขนส่ง หรือ”โลจิสติกส์ในการ ขนส่งอ้อยเช้าสู่โรงงาน เกษตรกรก็ต้องเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมันและราคาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูง ขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตังนั้นหากแปลงปลูกอ้อยของเกษตรกรอยู่ห่างจากโรงงานมากก็จะต้องเสียค่าดัดตนจัดการในการขนส่งเพิ่มขึ้นไปอีก ถึง ณ ขณะนี้แม้จะไต้รับ
ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ในอนาคตก็ ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในเรื่องของราคาขายกับต้นทุนในการปลูก การขนส่ง และเงิน ช่วยเหลือจากกองทุน จะไม่คุ้มค่ากับการ ลงทุนก็เป็นได้
“ต่อจากนั้นทางรอดสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรอยู่รอดได้ในอนาคต คงหนีไม่พ้นเรื่อง การบริหารจัดการ ลดต้นทุนเครื่องมือการเกษตรเช่นปั๊มน้ำหรือเลื่อยยนต์เพื่อเพิ่มผลผลิต โดย ในส่วนของข้อมูลวิชาการ เทคโนโลยี หรือ นวัตกรรมต่างๆ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเชื่อว่า เกษตรกรได้เรียนรู้และมีความรู้ความเช้าใจกัน อยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องก้าวหน้า ในตอนนี้คงจะต้องมองที่พันธุอ้อยคุณภาพที่ เหมาะสมกับพื้นที่ โดยจะต้องเป็นพันธุ์ที่ต้านทาน โรคแมลง ซึ่งปัจจุบันเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ ส่งผลต่อผลผลิตอ้อยเป็นอย่างยิ่ง โดยรวมอาจ จะเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน และอื่นๆ ที่ พันพัว ในส่วนนี้คงจะต้องพึ่งงานวิจัยและ พัฒนาจากภาครัฐเป็นสำคัญ”
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557
สวัสดีขอรับกระผมญาติพี่น้องเกษตรกรไทยที่ชอบปลูกผักทุกท่านสำหรับมะม่วง เมื่อเดือนที่แล้วค้นขายเกรดนางฟ้าเกาหลีกันแทบไม่ทัน จนโรงอบไม่เพียงพอต่อการอบไปเกาหลี มาเดือนนี้ตลาด เกาหลีเงียบไปเลย เนื่องจากโดนแตงโมมาเลย์เข้ามาขาย มะม่วง เลยเงียบ เพราะไปกินแตงโมที่ถูกกว่ามะม่วง ทำให้เดือน พฤษภาคมปลายๆ นางฟ้าเลยราคาตกไปเลยครับพี่น้อง หลายๆ บริษัทพยามดันไป หรือโยกไปตลาดจีน ก็โดนมะม่วง ที่ไปเกาหลีไม่ได้ไปรอที่ท้องตลาดจีนกันเต็มไปหมด ราคาดิ่งทันที ปลายทางจีน ประกอบกับมะม่วงจีนทางหนานหนิงเริ่มจะออก กับมะม่วงไต้หวันมาประดังกันพอดี ถามว่าเลวร้ายไหม ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ไม่ค่อยยอมรับราคานางฟ้าที่ตกลงแค่นั้นเองครับ แต่ก็คงไม่นานนัก ต้นๆ เดือนนี้ก็ดีแล้วครับ กลางเดือนไปก็ แพงคงเดิม
ด้วยว่าตลาดอินโด ตอนนี้ก็มีมะม่วงท้องถิ่นออกมา แล้ว ไม่กินมะม่วงไทยครู่หนึ่งหนึ่ง ประกอบกับของไทยสินค้าเกษตรเช่นเครื่องพ่นยาไฟฟ้า มะม่วงปลายเดือนก็พืชผลน้อยลงไปแล้วไม่ต้องเหนื่อยแข่งราคากัน สำหรับอินโดนีเซีย แต่ตลาดจีนยังคงต้องดันกับราคาในไทย เพราะในเดือนกรกฎาคม ของในประเทศเรามักน้อย
อย่างเดียวมะม่วงจีนจะออกพอดีการเกิดซื้อแพงขายถูกก็เดือน นี้ละครับ จะให้ดีก็ขายแค่ภายในประเทศครับช่วงนี้ แพงอยู่แล้ว สำหรับต้นมะม่วงของเชียงใหม่ปีนี้ ผลผลิตสวย เกรด นางฟ้าค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะไม่ค่อยสวยมาหลายปี ติดกัน ปีนี้แก้มือได้แล้ว สวยๆ ทั้งนั้น เพราะเกษตรกรเก่งๆได้ราคาเครื่องตัดหญ้าที่ถูกลง กันทั้งนั้น สมัยนี้แต่ละสวนก็มีลูกค้าปกติจับจองกันทั้งนั้นดีใจแทนครับ มะม่วงก็ดีไปอย่าง ตลาดรอรับซื้อตลอดทั้งปี ทั้งจีน เกาหลี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น
เกี่ยวกับมะม่วงมหาชนกปีนี้ ตลาดผลสดไม่ค่อยดีนักเนื่องจากไฟฟ้าแพงแต่เครื่องปั่นไฟ ราคาถูกลง จะเป็นด้วยสาเหตุอะไรไม,ทราบแน่ซัดนัก แต่ตลาดอืดมากๆ สำหรับผลสดมหาชนก แต่ตลาดแช่แข็งก็พอไปได้มากมายๆ โรงงาน ส่วนมะม่วงอาทูอีทูไปได้ดีครับสำหรับปีนี้ ไม่พอขาย สำหรับเกรดส่งออก
สรุปผลกำไรของมะม่วงในเดือนมิถุนายนนี้มีอืดๆในช่วงต้นเดือน นิดหน่อย เลยช่วงนี้ไปแล้วตลาดนางฟ้าไปได้ดีละครับ ปีนี้ก็คง ไม่พอขายอยู่ดีมะม่วงเชียงใหม่ปีนี้ ขอให้พี่น้องเกษตรกรดูแล สวนกันดีๆ นะครับ หวั่นหวาดอย่างเดียวที่ไม่ได้ขาย คือพายุมาจาก ไหนไม่รู้ ฟัดซะร่วงหมดด้นแค่นั้นละครับมะม่วงไทย
สวัสดีขอรับครอบครัวเกษตรกรไทยที่ชอบปลูกผักทุกท่านสำหรับมะม่วง เมื่อเดือนที่แล้วตรวจหาขายเกรดนางฟ้าเกาหลีกันแทบไม่ทัน จนโรงอบไม่เพียงพอต่อการอบไปเกาหลี มาเดือนนี้ตลาด เกาหลีเงียบไปเลย เพราะโดนแตงโมมาเลย์เข้ามาขาย มะม่วง เลยเงียบ เพราะไปกินแตงโมที่ถูกกว่ามะม่วง ทำให้เดือน พฤษภาคมปลายๆ นางฟ้าเลยราคาตกไปเลยครับพี่น้อง หลายๆ บริษัทพยามดันไป หรือโยกไปตลาดจีน ก็โดนมะม่วง ที่ไปเกาหลีไม่ได้ไปรอที่ตลาดจีนกันเต็มไปหมด มูลค่าดิ่งทันที ปลายทางจีน ประกอบกับมะม่วงจีนทางหนานหนิงเริ่มจะออก กับมะม่วงไต้หวันมาประดังกันพอดี ถามว่าเลวร้ายไหม ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ไม่ค่อยยอมรับราคานางฟ้าที่ตกลงแค่นั้นเองครับ แต่ก็คงไม่นานนัก ต้นๆ เดือนนี้ก็ดีแล้วครับ กลางเดือนไปก็ แพงเหมือนเดิม
ด้วยตลาดอินโด ตอนนี้ก็มีมะม่วงท้องถิ่นออกมา แล้ว ไม่กินมะม่วงไทยสักพักหนึ่ง ประกอบกับของไทยสินค้าเกษตรเช่นเครื่องพ่นยาไฟฟ้า มะม่วงปลายเดือนก็ผลผลิตน้อยลงไปแล้วไม่ต้องเหนื่อยแข่งราคากัน สำหรับอินโดนีเซีย แต่ตลาดจีนยังคงต้องดันกับราคาในไทย เพราะในเดือนกรกฎาคม ของในประเทศเราโดยมากน้อย
แม้ว่ามะม่วงจีนจะออกพอดีการปรากฏซื้อแพงขายถูกก็เดือน นี้ละครับ จะให้ดีก็ขายแค่ภายในประเทศครับช่วงนี้ แพงอยู่แล้ว สำหรับมะม่วงของเชียงใหม่ปีนี้ ผลผลิตสวย เกรด นางฟ้าค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะไม่ค่อยสวยมาหลายปี ติดกัน ปีนี้แก้มือได้แล้ว สวยๆ ทั้งนั้น เพราะเกษตรกรเก่งๆได้ราคาเครื่องตัดหญ้าที่ถูกลง กันทั้งนั้น สมัยนี้แต่ละสวนก็มีลูกค้าปกติจับจองกันทั้งนั้นดีใจแทนครับ มะม่วงก็ดีไปอย่าง ตลาดรอรับซื้อตลอดทั้งปี ทั้งจีน เกาหลี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น
เพราะด้วยมะม่วงมหาชนกปีนี้ ตลาดผลสดไม่ค่อยดีนักเนื่องจากไฟฟ้าแพงแต่เครื่องปั่นไฟ ราคาถูกลง จะเป็นด้วยสาเหตุอะไรไม,ทราบแน่ซัดนัก แต่ตลาดอืดมากๆ สำหรับผลสดมหาชนก แต่ตลาดแช่แข็งก็พอไปได้นักๆ โรงงาน ส่วนมะม่วงอาทูอีทูไปได้ดีครับสำหรับปีนี้ ไม่พอขาย สำหรับเกรดส่งออก
สรุปอรรถประโยชน์ของมะม่วงในเดือนมิถุนายนนี้มีอืดๆในช่วงต้นเดือน นิดหน่อย เลยช่วงนี้ไปแล้วตลาดนางฟ้าไปได้ดีละครับ ปีนี้ก็คง ไม่พอขายอยู่ดีมะม่วงเชียงใหม่ปีนี้ ขอให้พี่น้องเกษตรกรดูแล สวนกันดีๆ นะครับ ขนหยองอย่างเดียวที่ไม่ได้ขาย คือพายุมาจาก ไหนไม่รู้ ฟัดซะร่วงหมดด้นแค่นั้นละครับมะม่วงไทย
วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557
องค์กรสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดการประชุม
ไขทีเด็ด มะนาวนอกฤดู – กลยุทธ์การขยายพันธุ์มะนาวด้วยใบ
ต้องบอกว่าในช่วง 1-2 ปีมานี้ทางมะนาวมาแรงแซงหน้าทุกพืชในวงการเกษตรเลยทีเดียว ยิ่งราคามะนาวนอกฤดูของปีนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากเพราะผลผลิตมะนาวนอกฤดูน้อยกว่าทุกปี ยิ่งทำให้คนระดมปลูกมะนาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเครื่องตัดหญ้าราคาถูกลงมาก มะนาวนอกฤดูยังเป็นเสน่ห์ที่ท้าทายความสามารถและความสามารถของคนปลูกมะนาว เพราะแม้จะมีตำราหรือหลักสูตรความสำเร็จให้ได้เดินตามมากมาย แต่ดูเหมือนคัมภีร์การทำมะนาวนอกฤดูมีหลายเล่มเหลือเกิน และสุดท้ายคนที่สำเร็จกับมะนาวนอกฤดูจริงๆแล้วกลับมีไม่กี่คน การทำมะนาวนอกฤดูยังเป็นความท้าทายที่ทำให้คนปลูกมะนาวยังต้องสรรหาความลับมาอยู่ตลอด และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้แม้พื้นที่ปลูกมะนาวจะเพิ่มขึ้นมากมายแค่ไหนแต่มะนาวนอกฤดูก็ยังมีปริมาณไม่มากและไม่เพียงพอกับความต้องการ ขณะที่มะนาวในฤดูกลับยิ่งล้นทะลัก อนาคตของพืชตัวนี้จะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่ง
สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จึงได้จัดประชุมขึ้นในวันที่ 9 ต.ค.2557 ที่ อาคารสารนิเทศ 50 ปี ม.เกษตรศาสตร์ บางเขนเรื่องมะนาวและเครื่องปั่นไฟ โดยมีกำหนดการคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ
9.00-12.00 ไขความลับของมะนาวนอกฤดูกับ 3 กูรู
1. อาจารย์วัง สุขประเสริฐ ชาวสวนมะนาวที่ประสบความสำเร็จกับการทำมะนาวนอกฤดูในวงบ่อซีเมนต์กว่า 30 ไร่ จนกลายเป็นวิทยากรที่ได้รับเชิญไปเผยแพร่เทคนิคการทำมะนาวนอกฤดูทั่วประเทศ
2.คุณนิวัติ ปากวิเศษ ประธานสหกรณ์ผู้ปลูกมะนาวบ้านแพ้ว-ดำเนิน จำกัด ชาวสวนที่ประสบความสำเร็จกับการทำสวนมะนาวนอกฤดูกว่า 100 ไร่ ที่รังสิตและบ้านแพ้ว รวมทั้ง นำนวัตกรรมการแปรรูปมะนาวในช่วงที่มะนาวราคาถูกมาเป็นน้ำมะนาวพร้อมดื่มและน้ำมะนาวเข้มข้น แบรนด์ มีแนว เพื่อเพิ่มมูลค่ามะนาว
3.ดร.วสันต์ ผ่องสมบูรณ์ นักวิชาการเกษตร จากศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร นักวิชาการที่เรียนรู้คิดค้นเทคนิคและวิธีการที่จะบังคับมะนาวให้ออกนอกฤดูมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีและถ่ายทอดสู่เกษตรกรจนเป็นแนวทางในปัจจุบัน
13.30-17.00
- แนวการตลาดของมะนาวจะเป็นอย่างไร เพราะว่า ผู้รับซื้อมะนาวรายใหญ่ของตลาดไท เจ๊เล็ก ที่รับรับซื้อมะนาวมากถึงวันละ 1,000-1,500 กระสอบ และส่งผลผลิตมะนาวกระจายทั่วประเทศรวมทั้งร้านอาหารต่างๆทั่วประเทศ
-การขยายพันธุ์มะนาวด้วยใบ เคล็ดลับการขยายพันธุ์แบบใหม่โดยใช้เครื่องพ่นยาเพื่อเพิ่มจำนวนกิ่งพันธุ์ปริมาณสูงสุดกว่าทุกวิธี โดย คุณสุรชัย สมันตรัส ศูนย์เล่าเรียนเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธกส. จ.สตูล
-การขยายพันธุ์มะนาวเชิงการค้า ---การตอน การทาบกิ่ง การเสียบยอด การติดตา การเสียบกิ่งมะนาวบนตอมะขวิด โดยศุภชัย แสงดี เจ้าของสวนเกษตร 12
ครบเครื่องเรื่องมะนาวที่คนปลูกมะนาว คนสนใจการปลูกมะนาว คนที่คิดจะปลูกมะนาว ไม่ควรพลาดค่ะ ค่าสัมมนาคนละ 650 บาท นะคะ เป็นค่าเอกสาร ค่ากาแฟ(เบรก) 2 มื้อและค่าอาหารกลางวัน(บุฟเฟ่)ค่ะ
สนใจสอบถามรายละเอียดหรือจองที่นั่งที่หนึ่ง รักษ์เกษตร ได้นะคะ 089-7835887 ค่ะ เอามาให้ดูไว้ตกลงใจหาเวลาว่างกันล่วงหน้าแต่เนิ่นๆค่ะ
วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557
มัจจุราช หน้าฝน...ที่ต้องจงระวังในพืชตระกูลแตง
เพราะคุณอาจสิ้นสุด...แค่ชั่วข้ามคืน
การปลูกผักพืชตระกูลแตง ไม่ว่าจะเป็นแคนตาลูป เมล่อน แตงทิเบตหรือแตงอื่นๆจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การเกษตร ในช่วงฝนมีความล่อแหลมค่อนข้างสูงจากสารพัด
โรคที่เปรียบเสมือน พญายม ที่มันพร้อมจะมาเยือนเราแบบไม่รู้ตัวค่ะ เพียงชั่วข้ามคืนสิ่งที่คุณลงเงินมาทั้งหมดอาจสูญเปล่าทั้งที่คุณมองเห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้าก็ตาม
แปลงแคนตาลูปของคุณกิติ ที่แก่งคอย ที่ใช้เครื่องพ่นยา หนึ่งในสมาชิกของโครงการเราก็เช่นกัน อีก 14 วันกำลังจะได้เก็บลูก แต่ฝนที่กระหน่ำเพียงชั่วข้ามคืน ตื่นนอน
เช้ามาสภาพอย่างที่เห็น โรคระบาดขึ้นเกือบทุกใบบนต้นค่ะ นี่คือมหันตภัยที่คนปลูกสร้างแคนตาลูปมีโอกาสเจอค่ะ ความรอบรู้ ประสบการณ์และพลังใจที่แข็งแกร่งเท่า
นั้นที่จะทำให้เราก้าวผ่านมันไปได้ค่ะ เราอาจจะใหม่ในวงการแคนตาลูป ไม่ได้ปลูกมา 10 ปี 20 ปี แต่เราไม่ใหม่ในวงการเคมีเกษตรค่ะ เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อมั่นว่า
เราจะอยู่เคียงข้างคุณและพาคุณเดินไปถึงเส้นชัยให้ได้ค่ะ
วันนี้ สิ่งที่น่ากลัวเมื่อ 2 วันที่แล้ว มันไม่น่ากลัวแล้ว ด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เรามี แปลงแคนตาลูปแปลงนี้เราแก้ปัญหาได้แล้วและเราก้าวข้ามความกลัว
ตรงนั้นมาได้แล้ว โรคหยุดแล้วแต่ยังทิ้งร่องรอยให้เห็น แต่ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตต่อไปได้ค่ะ ....สปินเนอร์...คือ สุดยอดยาที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อต่อสู้กับโรคจากเชื้อ
ราและแบคทีเรียที่ตอบโจทย์ที่สุด และเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราชื่นชม และมันจะพาสมาชิกของเราทุกคนคลาดแคล้ววิกฤติค่ะ....ขอแค่ อย่ากลัว และ เชื่อมั่น....
สมาชิกทุกคนมีปัญหาอะไร มีอะไรผิดปกติรีบแจ้งนะคะ ความทันใจในการแก้ปัญหาคือเหตุของความสำเร็จค่ะ
หลายคนอยากเอาคืนครับ เพราะเจ้ามือเอาไปละ แต่ก็ต้องหาทุน....
ใช่ครับ ชีวิตงานไม่ใช่การเสี่ยงโชค แต่หลายคนไม่มีความรู้มูลฐาน ในบัญชีต้นทุน และการทำธุรกิจ เลยกลายเป็นชีวิตแข่งกับเจ้ามือ.
"การเดิมพัน ไม่เคยทำให้คุณพิชิตเจ้ามือ"
ทุกวันนี้คุณไม่รู้หรอกว่าเจ้ามืออย่าง ธนาคารมีเงินมีทอง ธกส.มั่งมี กลุ่มสหกรณ์ร้วยรวย และผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบ รวยๆ.
"กักดักที่วางไว้อยู่รอคุณอยู่ครับ"
ถ้าคุณไม่เข้าใจสิ่งต่างๆเหล่านี้ ความจน ที่เค้ามอบให้ และคุณกำลังเดินอยู่กำลังมาครับ.
โอกาส,ผลตอบแทนการลงทุน,ค่าเหนื่อย,จุดคุ้มทุน,เวลากับเงิน
ฉันมีหนี้ ฉันต้องการทำงาน ทำธุรกิจ ทำเกษตร ขายของ ขายเครื่องตัดหญ้า ขายเครื่องปั่นไฟ และอื่นๆจนไม่รู้จบ เพื่อปลดหนี้ ฉันรู้อยู่ว่ามันก็เสี่ยงภัย เพราะขึ้นกับฟ้าฝน และสภาวะการตลาด ฉันลงมือทำแล้วด้วย แต่ทำไมหนี้ฉันไม่หายแต่หนี้กลับเพิ่มขึ้นมาอีก?
ถ้าคุณไม่รู้อย่างผมรู้ หนี้ไม่หายครับ และยังจะเพิ่มขึ้น.
ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบเล่นการท้าพนัน ผมก็ไม่ชอบ แต่ถ้าคุณใช้สอยเงิน อย่างนี้, อย่างที่เป็นอยู่ดังเดิม มองรายได้กลับมาไม่สมเหตุสมผล และคิดไปเองอย่างนี้ ยากมากๆครับ.