วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ต่อตอนที่2 วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์อะไรดีจึงจะมีตลาดขาย

-มะละกอพันธุ์ครั่ง เป็นมะละกอดิบหรือส้มตำพันธุ์ใหม่ที่ใช้ยาฆ่าแมลงและใช้เครื่องพ่นยาน้อย และที่มีผู้สื่อข่าวทำข่าวกันมากจนทำให้เกษตรกรปลูกกันเยอะมากๆ โดยชูข้อดีตรงที่เนื้อ

กรอบ มากๆ และ อร่อย หลังเก็บจากต้นแล้ว สดอยู่ได้นานกว่าพันธุ์อื่น 5-6 วันก็ยังไม่เหี่ยว และบอกว่าทนทานไวรัสจุดวงแหวนได้ดี(อันนี้จริงเปล่าไม่รู้) แต่จุดด้อยก็คือ ผลมีร่องทำให้

เวลาปอกเปลือก เปลือกสีเขียวจะติดอยู่ในร่องนั้น ขูดเส้นยาก ตอนนี้เริ่มมีปัญหาด้านตลาดแต่นักค้นคว้าก็ยังเพิ่งเปิดตัวครั่งพันธุ์ใหม่เนื้อเหลืองไปเมื่อเดือนที่แล้วอีกซึ่งครั่งเนื้อเหลือง

จะทำให้เส้นส้มตำน่ารับประทานมากขึ้น คนเขียนข่าวประโคมข่าวอีกเช่นเดิมแต่ปัญหาร่องที่ผลจะทำให้แม่ค้ายอมรับได้แค่ไหนต้องเกาะติดกันต่อไป
-มะละกอเรดเลดี้ เป็นพันธุ์ลูกผสมจากไต้หวัน จัดจำหน่ายพันธุ์โดยบริษัทเครื่องมือการเกษตรเพื่อนเกษตรกร ที่จะเน้นจำหน่ายในลักษณะต้นกล้า ราคาต้นละ 50 บาท แต่ช่วงหลังก็มี

การเก็บเมล็ดพันธุ์ขายกัน และเพาะกันเอง ต้นที่ได้จะแตกต่างจากรูปร่างเดิมบ้างแต่ไม่มาก ตลาดรับได้ เรดเลดี้ป้อนตลาดกินสกุ แต่ตลาดก็จำกัด เป็นที่นิยมเฉพาะเขตภาคใต้แต่ก็รับ

ได้ในปริมาณไม่มาก ราคาขายสุกสูงประมาณ 30-50 บาท/กก.ป้อนโรงแรมและขายนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ช่วงมะกอขาดตลาดก็จะมีเรดเลดี้เข้ามาในตลาดบ้าง แต่ราคาขายกลับกำไร

น้อยกว่าฮอลแลนด์ในตลาดอื่นๆยกเว้นภาคใต้ พันธุ์นี้ปลูกที่อื่นก็ยังต้องส่งไปขายที่ใต้
-มะละกอเรดแคริเบี้ยน เป็นอีกพันธุ์ที่มีการโฆษณา การโฆษณาผ่านสื่อเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ(เพราะคนเผยแพร่พันธุ์อยู่ในวงการสื่อ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัด

พิจิตร)เป็นมะละกอลูกใหญ่ 3-5 กก. ด้วยขนาดลูกที่โตมากจึงเป็นได้แค่มะละกอโรงงาน ที่ราคารับซื้ออยู่ในช่วง 2-5 บาท/กก.เท่านั้น เมล็ดพันธุ์แพง ไม่แน่ใจว่าเม็ดละ 5-7 บาท รึ

เปล่า
-มะละกอฮาวายหรือซันไรส์ เป็นมะละกอผลลูกเล็ก ขนาดผล 5-7 ขีด ตลาดค่อนข้างจำกัด ปลูกกันมากเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีตลาดที่ชัดเจน คนซื้อมีไม่มาก ซื้อป้อนตลาดห้างกับส่ง

ออก ขายตลาดทั่วไปยาก แต่ราคาซื้อ-ขายค่อนข้างสูง กก.ละ 20-25 บาท
-มะละกอขอนแก่น 80 เป็นมะละกอผลลูกเล็กที่พัฒนาพันธุ์ขึ้นมาโดยหวังมาแข่งกับฮาวายเพราะขอนแก่น 80 ลูกใหญ่กว่า เนื้อหนากว่า อร่อยกว่า แต่ด้วยความเป็นมะละกอลูกเล็กที่

ตลาดจำกัดมากๆอยู่แล้วเลยขายได้ไม่มาก ตอนนี้เริ่มหายไปจากตลาดและแทบไม่มีการพูดถึง
จะปลูกมะละกอพันธุ์ไหน ต้องหาแหล่งที่ขายให้ก่อนดีค่ะ อย่าลืมว่ามะละกอใช้เวลานาน 5-6 เดือนจึงเก็บขายดิบได้ และ 8-9 เดือนจึงเก็บสุกขายได้ หาที่ตลาดให้ชัดเจน มะละกอทุก

พันธุ์ป้อนโรงงานได้ทั้งหมดเพราะโรงงานซื้อทุกสายพันธ์ สุดท้ายก็ไปเจอกันที่โรงงานหากคุณหาที่ไปไม่ได้...ขอให้โชคดีค่ะ

เครื่องมือที่ควรติดรถยนต์ "แม่แรง" ใช้ทำอะไร ดีอย่างไร

แม่แรง คือ อุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ในการเพิ่มเเรงในการยกรถยนต์ เพื่อทำการซ่อมบำรุงส่วนต่างๆของรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นล้อรถยนต์ ช่วงล่างของรถยนต์ หรือใช้ในการตรวจดูตัว

ถังของรถยนต์ เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยทุ่นแรงในการทำงานเกี่ยวกับช่วงล่างของรถยนต์ เพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ตามปกติตัวถังและโครงรถยนต์ จะต้องทำการซ่อมเนื่อง

ด้วยอุบัติเหตุ ทำให้โครงตัวถังรถเกิดการโค้งงอ บิดตัว แตกหัก หรือฉีกขาด ซึ่งจะต้องทำการซ่อมบริเวณส่วนที่โค้งงอ บิดตัว ให้ตรงเหมือนเดิม โดยใช้อุปกรณ์ที่ให้กำลัง (Power

Tool) สำหรับดึง และดันซึ่งแล้วแต่ลักษณะของงานที่จะซ่อมนั้นๆ

แม่แรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน
1. แม่แรงระบบไฮดรอลิก
แม่แรงชนิดไฮดรอลิก ยอดเยี่ยมตรงที่ทำให้คนใช้เบาแรง และสามารถยกน้ำหนักได้เยอะแม้จะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีข้อบกพร่องอยู่ตรงที่โอริงของระบบไฮดรอลิกอาจจะรั่ว

หากนำไปใช้ยกน้ำหนักที่มากเกินกว่าจะรับไหว หรือเมื่อถูกนำไปเก็บไว้ในลักษณะที่น้ำมันไฮดรอลิกไหลรั่วออกมาได้ง่าย และมีขีดจำกัดที่หากอยากยกระดับให้สูงมากขึ้น จะต้องใช้

แม่แรงไฮดรอลิกที่มีขนาดใหญ่กว่าแม่แรงประเภทอื่น

2. แม่แรงระบบกลไก
แม่แรงกลไกนั้นมีจุดเด่น คือ ความคงทนสามารถพกพาได้ง่าย และการดูแลรักษาทำเพียงแค่หล่อลื่นกลไกเท่านั้นก็ใช้งานได้สบาย สามารถยกระดับของตัวรถได้สูงตามที่ความยาว

ของแกนถูกสร้างเอาไว้ แต่มีข้อบกพร่อง คือ เมื่อใช้งานต้องออกแรงมากสำหรับการยกน้ำหนัก และส่วนมากแม่แรงแบบกลไกจะมีขาเดียวทำให้ไม่ค่อยมั่นคงเกิดอันตรายง่ายเมื่อใช้

งานยกน้ำหนัก

วิธีเลือกซื้อแม่แรง กับความเหมาะเจาะในการใช้งาน
แม่แรงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานในการเดินทางทั่วไป หากว่ารถที่ท่านใช้อยู่มีที่ตั้งสำหรับการเก็บพอเพียง คือ แม่แรงแบบไฮดรอลิกประเภทที่เรียกกันว่า “แม่แรงตะเข้”

หรือแม่แรงชนิดไฮดรอลิกช่วยเบาแรงยก ที่มีฐานกว้างและมีล้อรถสำหรับลากเคลื่อนที่นั่นเอง เนื่องด้วยใช้งานง่าย เบาแรง  และมีความปลอดภัยสูงที่สุด

ถ้าหากไม่มีแม่แรงประเภทดังกล่าวทุกท่านก็สามารถใช้แม่แรงที่มีติดมาประจำรถได้ แต่ต้องทำความเข้าใจวิธีการใช้จากคู่มือให้แม่นยำ รวมทั้งต้องดูจากคู่มือการใช้ให้แน่ใจในจุดที่

จะต้องใช้แม่แรงสอดเข้าไปเพื่อยกตัวรถด้วย  เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับรถของท่านได้ แต่เหนืออื่นใดคือต้องมั่นอกมั่นใจว่าเมื่อท่านใช้แม่แรงยกรถของท่านแล้ว

รถจะต้องไม่ไหลเคลื่อนหรือแม่แรงหลุดจากจุดรองรับ จนทำให้เกิดความเสียหายหรือเกิดการบาดเจ็บขึ้นมาได้

วิธีการการใช้งานแม่แรงอย่างปลอดภัย
วิธีการขึ้นแม่แรงที่อย่างปลอดภัย คือ หากท่านต้องขึ้นแม่แรงที่ล้อหน้าด้านซ้าย ให้เข้าเกียร์เดินหน้าหรือเกียร์หนึ่งเอาไว้พร้อมทั้งดึงเบรกมือด้วย และให้เอาไม้หน้าสามหรือหน้ากว้าง

กว่านั้นไปค้ำจุนที่หลังของล้อหลังด้านขวา เป็นการป้องกันรถไหลเมื่อแม่แรงยกหน้ารถลอยขึ้น   เช่นเดียวกันเมื่อต้องการขึ้นแม่แรงที่ล้อหลังด้านขวา ให้เข้าเกียร์ถอยหลังและดึงเบรก

มือเอาไว้ พร้อมทั้งเอาของไปหนุนที่ส่วนหน้าของล้อหน้าด้านซ้าย

ข้อควรจงระวังขณะใช้แม่แรง
สิ่งควรระวังก็คืออุปกรณ์ที่นำมาหนุนที่ล้อป้องกันรถไหล หรือนำมารองด้านใต้พื้นของแม่แรง เพื่อป้องกันการยุบตัวของแม่แรงนั้น ไม่ควรเป็นวัตถุที่แข็งแต่เปราะบาง แตกหักง่าย เช่น

อิฐบล็อก อิฐแดง หรือหินปูน เป็นต้น  การใช้แม่แรงยกรถนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่หากจะใช้ให้ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง  ก็ต้องทำความเข้าใจหาความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เอาไว้เผื่อเวลา

คับขันด้วยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

การปลูกมะละกอพันธุ์แบบไหนดีจึงจะมีตลาดขาย

จริงๆไม่ได้คิดที่จะบอกเทคนิคเรื่องนี้เลย เพราะคาดไม่ถึงค่ะ แต่เมื่อวานมีคนเข้ามาถามในinboxให้ช่วยหาตลาดมะละกอแขกดำให้หน่อย อย่างเช่นผมปลูกมะละกอพันธุ์ครั่ง เรด

แคริเบี้ยนขายที่ไหนดี ทำให้คิดว่าเรามองข้ามเรื่องนี้ไปจริงๆ เพราะชีวิตอยู่แต่กับมะละกอฮอลแลนด์ เลยไม่ได้มองพันธุ์อื่น
- มะละกอฮอลแลนด์ คือพันธุ์ที่มีเสน่ห์และน่าลงทุนที่สุด เพราะเป็นพันธุ์มะละกอกินสุกที่นิยมที่สุดและใช้ปืนพ่นยา หรือ การพ่นยาน้อยที่สุด ตลาดกว้างขวาง แม่ค้ารับซื้อเยอะมากที่สุด

ส่วนที่ตกเกรดหรือเป็นโรคก็ยังวางขายเข้าโรงงานได้ ราคามะละกอจะยืนพื้นจากสวน 8-10 บาท/กก. ราคาขายส่งอยู่ที่ 15-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 20-35

บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย

ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงสูงกว่้าพันธุ์อื่นๆ มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะว่า

ดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ท่านใดที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอ

ได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับเงินก้อนโตได้เลย มีเงินเหลือเฟือไปซื้อ

เครื่องมือการเกษตรเยอะเลยคะ
-มะละกอแขกดำ เคยเป็นมะละกอกินสุกที่ครองตลาดในอดีต แต่วันนี้หมดสมัยของแขกดำในตลาดกินสุกไปแล้ว แขกดำจึงเป็นมะกอที่หาแหล่งขายไม่เจอ ไม่รู้จะอยู่ตลาดไหน กินสุกก็

ได้แต่ก็สู้ฮอลแลนด์ไม่ได้ ตลาดไทมีแผงมะละกอ 100 แผง แต่มีเพียง 2 แผงที่ขายแขกดำและปริมาณการขายก็ไม่มาก แต่ในตลาดกินดิบหรือส้มตำ แขกดำก็ไปได้แต่ก็ไม่โดดเด่น

เท่าแขกนวลที่มีคุณสมบัติดีกว่า
-มะละกอแขกนวล ถือป็นมะละกอกินดิบที่ครองตลาด เพราะเป็นมะละกอที่เนื้อกรอบ อร่อย แม่ค้าส้มตำชอบ อีกทั้งยังเป็นมะกอที่ติดดก ผลโตมากๆ มะละกอกินดิบมีข้อดีตรงที่เก็บเกี่ยว

เร็ว 5 เดือนก็เก็บขายได้แล้ว จากนั้นจะเก็บกันทุก 15-20 วัน (ครั้งหนึ่งก็ประมาณ 20-25 ตัน ในพื้นที่ปลูกประมาณ 10 ไร่) มะละกอดิบดูแลจัดการง่ายกว่ามะละกอสุกเยอะ ไม่ต้อง

หุ้มห่อผล ไม่ต้องระมัดระวังมากตอนเก็บ เก็บเสร็จแพ็คใส่ถุงพลาสติกถุงละ 10 กก.ใส่ขึ้นรถขายได้เลย แต่ราคาก็จะอยู่ที่ 4-5 บาท ตลอดทั้งปี ช่วงราคาถูกก็อยู่ที่ 2 บาทค่ะ แทบไม่คุ้ม

ค่าขนส่งเลยค่ะ
เดี๋ยวมาต่อคะ ติดตามในบทความต่อไปนะคะ...

ปั๊มน้ำประเภทต่างๆ และแนวทางเลือกซื้อปั๊มน้ำ ให้เหมาะกับชนิดงาน

"ปั๊มน้ำ" เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการขายกันมานาน และมีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของผู้ซื้อ

ปั๊มน้ำ ส่วนมากมีอยู่ 5 หมวด ได้แก่ ปั๊มน้ำอัตโนมัติ, ปั๊มน้ำกึ่งอัตโนมัติ, ปั๊มหอยโข่ง ปั๊มน้ำบาดาล และปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันออกไป

ปั๊มน้ำอัตโนมัติ เหมาะสำหรับการใช้ภายในบ้าน คือ เมื่อมีการเปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำจะทำงาน พอเลิกใช้ปั๊มน้ำก็หยุดทำงาน ขนาดของปั๊มน้ำอัตโนมัติมีตั้งแต่ 100-400 วัตต์ สำหรับ

100–150 วัตต์ เหมาะกับบ้านที่มีผู้อาศัย 2-3 คน และ ขนาด 400 - 700 วัตต์ สำหรับครัวเรือนใหญ่

ปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ เหมาะสำหรับการดึงน้ำ เช่น ดึงน้ำท่วมบ้าน ดึงน้ำจากบ่อ ปั๊มจุ่มจะมีให้เลือกหลายขนาด ถ้าประสงค์ให้ดึงน้ำเร็วต้องใช้ตัวที่วัตต์สูง เช่น 200 -250 วัตต์ แต่ถ้าไม่

ประสงค์ดึงน้ำมากๆ ใช้วัตต์น้อยๆ ก็จะประหยัดได้ด้วย ในการใช้งานติดต่อจะใช้ได้แค่ 7 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนั้นปั๊มน้ำจะร้อนจัดทำให้มอเตอร์ตัดและใบพัดล็อค เราต้องถอดใบพัดออก

มาหมุนกลับเข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้ตามปกติ

ปั๊มหอยโข่ง เหมาะสำหรับกับการดึงน้ำเก็บใส่ถัง เหมือนที่ใช้ในการเกษตรคือส่งน้ำไปไกลๆ หรือดึงน้ำขึ้นไปบนอาคารสูงๆ เนื่องจากปั๊มหอยโข่งจะมีแรงม้าสูง มี 1 แรงม้า 2 แรงม้า

แต่ไม่เป็นระบบอัตโนมัติ ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องนานๆ

ปั๊มกึ่งอัตโนมัติ จะเหมือนๆ กับปั๊มอัตโนมัติ แต่เราต้องเปิด-ปิดสวิทช์ หรือเสียบปลั๊ก-ถอดปลั๊กใช้งานเอง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยม ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมแบบอัตโนมัติไปเลย

ปั๊มน้ำบาดาล เป็นปั๊มน้ำที่ดูดมาใช้ข้างในครัวเรือนหรือใช้ในการเกษตรกรรม

การเลือกปั๊มน้ำให้เหมาะสมกับงานจะช่วยประหยัดเงิน
การเลือกใช้ปั๊มน้ำนั้น ถ้าใช้ภายในบ้านเราต้องดูจากจำนวนผู้อยู่อาศัยว่าอยู่กันกี่คน เช่น ทาวเฮาส์ 2 ชั้น จะมีแค่ 2-3 ห้องน้ำ เลือกใช้ปั๊มขนาด 100-150 วัตต์ก็เพียงพอ หรือถ้าไม่มี

เครื่องทำน้ำอุ่น เลือกใช้แค่ 100 วัตต์ เราก็สามารถเปิดน้ำพร้อมกันได้ 2-3 จุด แต่ถ้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ควรเพิ่มเป็น 150 วัตต์ เพราะว่าจะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำอุ่นหรือเมื่อเราเปิดก๊อก

น้ำหลายจุดในเวลาเดียวกัน แล้วถ้าเป็นลูกค้าบ้านเดี่ยวอยากแนะนำให้ใช้ปั๊มขนาด 200–250 วัตต์ เพราะจะเปิดพร้อมกันได้ถึง 5-6 จุด หรือถ้าติดเครื่องทำน้ำอุ่นถึง 3 ห้องน้ำ

ขอชี้ช่องทางให้ใช้แบบ 250 วัตต์ เพราะจะดีตรงที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย

อีกอย่างที่ช่วยให้ประหยัดไฟคือการเลือกใช้ฝักบัว ฝักบัวที่น้ำออกมาเป็นฝอยจะช่วยประหยัดน้ำ แต่ถ้าเป็นฝักบัวแบบที่เปิดแล้วน้ำออกมาเป็นสายอย่างนี้จะสิ้นเปลืองน้ำกว่า ไม่

ประหยัดน้ำเพราะน้ำจะไหลออกมาเร็วเกินไป และกินไฟเพิ่มมากขึ้นเพราะมอเตอร์ปั๊มน้ำจะทำงานติดต่อกันไม่ตัด เพราะฉะนั้นการที่เราเลือกฝักบัวหรือสายฉีดชำระที่มีความละเอียด

เวลาน้ำออกมา มอเตอร์จะไม่ทำงานหนักเพราะตัดได้บ่อยไม่ทำงานสม่ำเสมอ แบบนี้จะดีในการเลือกใช้

การติดตั้งปั๊มน้ำอย่างถูกวิธีการช่วยประหยัดพลังงาน
ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ไม่แนะนำให้ติดตั้งแบบดึงตรง (by pass) แนะนำให้ต่อกับแท็งก์น้ำ (ติดตั้งแท็งก์น้ำเพิ่ม) แล้วให้ปั๊มดึงน้ำจากแท็งก์เข้าบ้านนี้จะช่วยประหยัดไฟกว่า

เป็นพิเศษ อีกอย่างคือการติดตั้งแท็งก์น้ำจะช่วยให้น้ำใช้หรือน้ำฝักบัวของเราไม่มีตะกอน เพราะว่าเวลาที่น้ำเข้าแท็งก์ตัวตะกอนจะตกลงก้นแท็งก์ก่อน เวลาใช้ปั๊มดึงก็จะได้น้ำสะอาด

ออกมา ต่อนี้ไปก็ช่วยประหยัดน้ำ-ประหยัดไฟได้เยอะเลย...

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีเลือกใช้ "แม่แรง" ใช้ทำอะไร ดีอย่างไร

แม่แรง คือ วัสดุอุปกรณ์ประเภทหนึ่งที่มีหน้าที่ในการเพิ่มเเรงในการยกรถยนต์ เพื่อทำการซ่อมแซมบำรุงส่วนต่างๆของรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นล้อรถยนต์ ช่วงล่างของรถยนต์ หรือใช้ในการตรวจตัวถังของรถยนต์ เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยทุ่นแรงในการทำงานเกี่ยวกับช่วงล่างของรถยนต์ เพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ตามปกติตัวถังและโครงรถยนต์ จะต้องทำการซ่อมเนื่องด้วยอุบัติเหตุ ทำให้โครงตัวถังรถเกิดการโค้งงอ บิดตัว แตกหัก หรือฉีกขาด ซึ่งจะต้องทำการซ่อมบริเวณส่วนที่โค้งงอ บิดตัว ให้ตรงเหมือนเดิม โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ให้กำลัง (Power Tool) สำหรับดึง และดันซึ่งแล้วแต่ลักษณะของงานที่จะซ่อมนั้นๆ

แม่แรงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน
1. แม่แรงระบบไฮดรอลิก
แม่แรงชนิดไฮดรอลิก เยี่ยมยอดตรงที่ทำให้คนใช้เบาแรง และสามารถยกน้ำหนักได้มากแม้จะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีข้อด้อยอยู่ตรงที่โอริงของระบบไฮดรอลิกอาจจะรั่วไหล หากนำไปใช้ยกน้ำหนักที่มากเกินกว่าจะรับไหว หรือเมื่อถูกนำไปเก็บไว้ในลักษณะที่น้ำมันไฮดรอลิกไหลรั่วออกมาได้ง่าย และมีความจำกัดที่หากอยากยกระดับให้สูงมากขึ้น จะต้องใช้แม่แรงไฮดรอลิกที่มีขนาดใหญ่กว่าแม่แรงชนิดอื่น

2. แม่แรงระบบกลไก
แม่แรงชนิดกลไกนั้นมีจุดเด่น คือ ความทนทานสามารถพกพาได้ง่าย พร้อมทั้งการดูแลรักษาทำเพียงแค่หล่อลื่นกลไกเท่านั้นก็ใช้งานได้ราบรื่น สามารถยกระดับของตัวรถได้สูงตามที่ความยาวของแกนถูกสร้างเอาไว้ แต่มีข้อบกพร่อง คือ เมื่อใช้งานต้องออกแรงมากสำหรับการยกน้ำหนัก และส่วนมากแม่แรงแบบกลไกจะมีขาเดียวทำให้ไม่ค่อยแน่นเกิดอันตรายง่ายเมื่อใช้งานยกน้ำหนัก

วิธีการเลือกซื้อแม่แรง กับความพอเหมาะในการใช้งาน
แม่แรงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานในการจากทั่วไป หากว่ารถที่ท่านใช้อยู่มีเนื้อที่สำหรับการเก็บพอ คือ แม่แรงแบบไฮดรอลิกประเภทที่เรียกกันว่า “แม่แรงตะเข้”  หรือแม่แรงชนิดไฮดรอลิกช่วยผ่อนแรงยก ที่มีฐานกว้างและมีล้อรถสำหรับลากเคลื่อนที่นั่นเอง เพราะว่าใช้งานง่าย เบาแรง  และมีความปลอดภัยสูงที่สุด

แม้ไม่มีแม่แรงประเภทดังกล่าวทุกท่านก็สามารถใช้แม่แรงที่มีติดมาประจำรถได้ แต่ต้องศึกษาวิธีการใช้จากคู่มือให้แม่นยำ รวมทั้งต้องดูจากหนังสือให้แน่ใจในจุดที่จะต้องใช้แม่แรงสอดเข้าไปเพื่อยกตัวรถด้วย  เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับรถของคุณได้ แต่เหนืออื่นใดคือต้องมั่นอกมั่นใจว่าเมื่อท่านใช้แม่แรงยกรถของท่านแล้ว  รถจะต้องไม่ไหลเคลื่อนหรือแม่แรงหลุดพ้นจากจุดรองรับ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือเกิดการเจ็บขึ้นมาได้

วิธีการการใช้งานแม่แรงอย่างปลอดภัย
วิธีการขึ้นแม่แรงที่ควรระวัง คือ หากคุณต้องขึ้นแม่แรงที่ล้อหน้าด้านซ้าย ให้เข้าเกียร์เดินหน้าหรือเกียร์หนึ่งเอาไว้พร้อมทั้งดึงเบรกมือด้วย และให้เอาไม้หน้าสามหรือหน้ากว้างกว่านั้นไปค้ำจุนที่หลังของล้อหลังด้านขวา เป็นการป้องกันรถไหลเมื่อแม่แรงยกหน้ารถลอยขึ้น   เช่นเดียวกันเมื่อต้องการขึ้นแม่แรงที่ล้อหลังด้านขวา ให้เข้าเกียร์ถอยหลังและดึงเบรกมือเอาไว้ พร้อมทั้งเอาของไปหนุนที่ข้างหน้าของล้อหน้าด้านซ้าย

ข้อควรระวังขณะใช้แม่แรง
สิ่งควรระวังก็คือวัตถุที่นำมาหนุนที่ล้อป้องกันรถไหล หรือนำมารองด้านใต้พื้นของแม่แรง เพื่อป้องกันการยุบตัวของแม่แรงนั้น ไม่ควรเป็นสิ่งของที่แข็งแต่บอบบาง แตกหักง่าย เช่น  อิฐบล็อก อิฐแดง หรือหินปูน เป็นต้น  การใช้แม่แรงยกรถนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่หากจะใช้ให้ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง  ก็ต้องเรียนรู้หาความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้เอาไว้เผื่อยามฉุกเฉินด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

ปั๊มน้ำประเภทต่างๆ และแนวทางเลือกซื้อปั๊มน้ำ ให้พอเหมาะกับประเภทงาน

ปั๊มน้ำประเภทต่างๆ และแนวทางเลือกซื้อปั๊มน้ำ ให้พอเหมาะกับประเภทงาน
"ปั๊มน้ำ" เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการจำหน่ายกันมานาน และมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของลูกค้า

ปั๊มน้ำ โดยมากมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่ ปั๊มน้ำอัตโนมัติ, ปั๊มน้ำกึ่งอัตโนมัติ, ปั๊มหอยโข่ง ปั๊มน้ำบาดาล และปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันออกไป

ปั๊มน้ำอัตโนมัติ ควรสำหรับการใช้ภายในบ้าน คือ เมื่อมีการหมุนเปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำจะทำงาน พอเลิกใช้ปั๊มน้ำก็หยุดทำงาน ขนาดของปั๊มน้ำอัตโนมัติมีตั้งแต่ 100-400 วัตต์ สำหรับ 100–150 วัตต์ เหมาะกับบ้านที่มีผู้อาศัย 2-3 คน และ ขนาด 400 - 700 วัตต์ สำหรับตระกูลใหญ่

ปั๊มจุ่มหรือปั๊มแช่ เหมาะสำหรับการดึงน้ำ เช่น ดึงน้ำท่วมบ้าน ดึงน้ำจากบ่อ ปั๊มจุ่มจะมีให้เลือกหลายขนาด ถ้าพึงประสงค์ให้ดึงน้ำเร็วต้องใช้ตัวที่วัตต์สูง เช่น 200 -250 วัตต์ แต่ถ้าไม่อยากได้ดึงน้ำมากๆ ใช้วัตต์น้อยๆ ก็จะประหยัดได้ด้วย ในการใช้งานติดต่อจะใช้ได้แค่ 7 ชั่วโมง ถ้าเกินจากนั้นปั๊มน้ำจะร้อนจัดทำให้มอเตอร์ตัดและใบพัดล็อค เราต้องถอดใบพัดออกมาหมุนกลับเข้าไปใหม่ ก็จะใช้งานได้เหมือนเดิม

ปั๊มหอยโข่ง เหมาะสำหรับกับการดึงน้ำเก็บใส่ถัง เหมือนที่ใช้ในการเกษตรคือส่งน้ำไปไกลๆ หรือดึงน้ำขึ้นไปบนอาคารสูงๆ เพราะปั๊มหอยโข่งจะมีแรงม้าสูง มี 1 แรงม้า 2 แรงม้า แต่ไม่เป็นระบบอัตโนมัติ ตัวนี้เหมาะกับการใช้งานติดต่อกันนานๆ

ปั๊มกึ่งอัตโนมัติ จะคล้ายๆ กับปั๊มอัตโนมัติ แต่เราต้องเปิด-ปิดสวิทช์ หรือเสียบปลั๊ก-ถอดปลั๊กใช้งานเอง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยม ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมแบบอัตโนมัติไปเลย

ปั๊มน้ำบาดาล เป็นปั๊มน้ำที่ดูดมาใช้ข้างในครัวเรือนหรือใช้ในการเกษตรกรรม

การเลือกปั๊มน้ำให้เหมาะสมกับงานจะช่วยประหยัดเงิน 
การเลือกใช้ปั๊มน้ำนั้น ถ้าใช้ภายในบ้านเราต้องดูจากจำนวนผู้อยู่อาศัยว่าอยู่กันกี่คน เช่น ทาวเฮาส์ 2 ชั้น จะมีแค่ 2-3 ห้องน้ำ เลือกใช้ปั๊มขนาด 100-150 วัตต์ก็เพียงพอ หรือถ้าไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น เลือกใช้แค่ 100 วัตต์ เราก็สามารถเปิดน้ำพร้อมกันได้ 2-3 จุด แต่ถ้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ควรเพิ่มเป็น 150 วัตต์ ก็เพราะว่าจะช่วยเพิ่มแรงดันน้ำอุ่นหรือเมื่อเราเปิดก๊อกน้ำหลายจุดโดยพร้อมเพรียง แล้วถ้าเป็นลูกค้าบ้านเดี่ยวอยากแนะนำให้ใช้ปั๊มขนาด 200–250 วัตต์ เพราะจะเปิดพร้อมกันได้ถึง 5-6 จุด หรือถ้าติดเครื่องทำน้ำอุ่นถึง 3 ห้องน้ำ ขอแนะนำให้ใช้แบบ 250 วัตต์ เพราะจะดีตรงที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้เช่นกัน

อีกอย่างที่ช่วยให้ประหยัดไฟคือการเลือกใช้ฝักบัว ฝักบัวที่น้ำออกมาเป็นฝอยจะช่วยประหยัดน้ำ แต่ถ้าเป็นฝักบัวแบบที่เปิดแล้วน้ำออกมาเป็นสายอย่างนี้จะเปลืองน้ำกว่า ไม่ประหยัดน้ำเพราะน้ำจะไหลออกมาเร็วเกินพอดี และกินไฟมากขึ้นเพราะมอเตอร์ปั๊มน้ำจะทำงานต่อเนื่องไม่ตัด ดังนั้นการที่เราเลือกฝักบัวหรือสายฉีดชำระที่มีความละเอียดเวลาน้ำออกมา มอเตอร์จะไม่ทำงานหนักเพราะตัดได้บ่อยไม่ทำงานสม่ำเสมอ แบบนี้จะดีในการเลือกใช้

ารติดตั้งปั๊มน้ำอย่างถูกแบบช่วยประหยัดพลังงาน
ในการติดตั้งปั๊มน้ำ ไม่แนะนำให้ติดตั้งแบบดึงตรง (by pass) แนะนำให้ต่อกับแท็งก์น้ำ (ติดตั้งแท็งก์น้ำเพิ่ม) แล้วให้ปั๊มดึงน้ำจากแท็งก์เข้าบ้านนี้จะช่วยประหยัดไฟกว่าเป็นพิเศษ อีกอย่างคือการติดตั้งแท็งก์น้ำจะช่วยให้น้ำใช้หรือน้ำฝักบัวของเราไม่มีตะกอน เนื่องจากเวลาที่น้ำเข้าแท็งก์ตัวตะกอนจะตกลงก้นแท็งก์ก่อน เวลาใช้ปั๊มดึงก็จะได้น้ำสะอาดออกมา ต่อนี้ไปก็ช่วยประหยัดน้ำ-ประหยัดไฟได้เยอะเลย...